“บ่ายนี้เดี๋ยวพาไปเดินป่า”
พี่คำภู ผู้นำทางกิติมศักดิ์ ร่างเล็ก วัยประมาณห้าสิบ เอ่ยปากบอกยิ้ม ๆ ด้วยสำเนียงพื้นถิ่น
พวกเรา สถาปนิกหนุ่มสาว ชาวกรุง หลังจากจบมาหมาด ๆ ทำงานได้สามสี่เดือน
ทางที่ทำงานที่แสนดี ก็ส่งพวกเราเด็กเข้าใหม่อย่างพวกเรา มาพักผ่อนกัน
“ไร่ชัชนาถ” บ้านสานตม อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย
ที่นี่มีสองร้อยกว่าไร่ หกเจ็ดปีก่อน ยังเป็นเขาหัวโล้น แต่ตอนนี้เป็นป่า
ป่าที่นี่เป็นป่าปลูก ปลูกด้วย
“แรงคนสองคน ขี้จากวัวหนึ่งฝูง กับน้ำหนึ่งบ่อ” (แล้วจะบอกประวัติใน episode 1-2 เรื่องยาว แต่น่าจะสนุก)
หกปีผ่านไป ป่าปลูกตอนนี้ ดูครึ้มแล้ว
แดดลงตรงหัว แต่อยู่ใต้ผืนใบไม้แล้วรำไร อากาศไม่ร้อน ไม่หนาว เหมาะกับการเดินเล่นในป่ามาก
“พี่คำภู นี่ต้นอะไรครับ” พวกเราเปิดคำถาม เพียงเห็นต้นไม้ มีเกล็ดแดง ๆ แปลก ๆ ตรงปากทางเข้า
พี่คำภูหันกลับมา “อันนั้นไม้แดง”
เออ แฮะ เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นไม้แดงที่เป็นต้น ๆ
สีมันแดงจริง ๆ ด้วย แต่เนื้อไม้ข้างในไม่ยักกะแดงอย่างนี้นะ ผมคิดในใจ
“พี่ ๆ นี่ต้นอะไรครับ”
“นี่ต้นมะค่า เห็นไหม รอบ ๆ ต้นวัชพืชขึ้นไม่ได้ เพราะมันมียางหยด” พี่คำภูอธิบาย พลางชี้ไปใต้ต้นมะค่า
เห็นน่าจะจริงอย่างที่พี่เขาว่า เพราะรอบ ๆ ต้นไม่มีหญ้า ไม่มีอะไรเลย มีแต่ฝุ่นดิน
“...เออ มะค่านี่แพงนะเนี่ย...” “...มันมาจาก “มีค่า”ไง...”
กลุ่มสถาปนิกหนุ่มสาวเถียงกันเอง ดูครึกครึ้น
พี่คำภูไม่ว่าอะไร ยิ้ม ๆ แล้วเดินต่อ
“พี่ ๆ นี่ต้นอะไรครับ”
พี่คำภูยังไม่ทันตอบ มีเสียงเถียงกันเองดังขึ้นเสียก่อน
“ต้นสัก ไงเล่าไอ้ฟาย แค่นี้ก็ไม่รู้”
“กว่าจะได้วงกบประตูสักอัน ก็น่าจะสิบปีขึ้นนะเนี่ย”
“สักนี่ดีนะ สีสวย ใช้แค่ชแล็กทา สีจะเนียนมาก คนถึงนิยมใช้ไง”
บทสนทนาระหว่างสถาปนิก อธิบายกันเอง
“สักนี่ใบใหญ่ หนอนแยะ กว่าจะโตได้ ลำบาก” พี่คำภูแทรกคำอธิบาย ระหว่างการเดินขึ้นเนินเล็ก ๆลูกหนึ่ง
“...มิน่าหล่ะ ถึงแพง...” เสียงเบา ๆ ดังจากกลุ่มสถาปนิก
พี่คำภูไม่ว่าอะไร ยิ้ม ๆ แล้วเดินต่อ พลางเอาพร้าตัดหญ้าสาบเสือ ถางทางให้เด็ก ๆ ที่ตามมา
แกคงเกรงพวกเราจะลำบาก
“ต้นนั้น ยางนา ...ต้นนี้ ตะแบก... อันนี้คล้าย ๆ กัน สเลา...”
พี่คำภูรู้แกว ตอบเสียก่อน ไม่รอให้พวกเรา
กลุ่มสถาปนิกจำไม ต้องถาม
“...สเลาเปลือกแตก ตะแบกเปลือกร่อน...” ผมเอ่ยออกมาโดยไม่ตั้งใจ เรียกเสียงฮือฮาได้พอสมควรจากกลุ่มเพื่อน ๆ
ต่อมานึกออกว่า จำประโยคนี้มาจากพวกเพื่อนภูมิสถาปนิก มันเคยท่องกันตอนสอบวิชาพันธุ์ไม้ ตอนปีสาม
พอเดินไปใกล้ ๆ เออ ใบกับทรงพุ่มมันเหมือนกันเลย แต่ต่างกันตรงเปลือกไม้จริง ๆ
“...อันนี้ประดู่ ต้นเล็ก ๆ นั่นชิงชัน...” พี่คำภูยังทำหน้าที่ของแกต่อ เพราะแกรู้จักทุกต้น เพราะปลูกมากับมือ
เสียงความเห็นดังจากกลุ่มสถาปนิกอีกครั้ง “เออ ชิงชันนี่เขาว่าลายสวย เดี๋ยวไปดูที่พื้นบ้านหลังแรกสิ สงสัยจะชิงชัน”
จากข้อมูลของพี่คำภู ต้นไม้พวกนี้ เริ่มปลูกพอ ๆ กัน หกปีก่อน
ทำให้เรารู้ได้เลยว่าต้นไม้ชนิดไหนโตเร็วโตช้า
ต้นสัก กับมะค่า ลำต้นนี่โตซักสองฝ่ามือกำได้ แต่ทรงพุ่มต่างกัน สักจะสูงชะลูด แต่มะค่าจะเป็นพุ่ม ๆ
รอบวงของไม้แดง ยังเพิ่งประมาณ มือครึ่งกำได้
ชิงชันยังแทบจะกำรอบได้ด้วยมือเดียว
ขณะที่พวกต้นสน จะใหญ่ที่สุด ประมาณว่าซักสามมือกำเห็นจะได้
พวกเราพอมีข้อสรุปในใจได้เล็กน้อยว่า
ไม้ที่โตช้า จะเป็นไม้เนื้อแข็ง
ส่วนไม้โตเร็วเป็นไม้เนื้ออ่อน
ส่วนเนื้อไม้ กับสี ก็จะต่างกันไปตามชนิด
พวกเรา ฝ่าดงใบสักแห้ง ๆ เดินกันเสียงกรอบแกร๊บมาสักพัก
พี่คำภูมาหยุดที่ไผ่กอนึง
พี่เขาอธิบายว่า นี่เรียกว่า “ไผ่บง ...บง ภาษากลาง แปลว่าป่านั่นแหล่ะ”
“อ๋อ นี่ไผ่ป่าธรรมดานี่เอง” เสียงพวกเราตอบเป็นลูกคู่
“กิ่งขนาดนี้ เอาไปตีไล่วัวได้”พี่คำภู อธิบายพลางหักกิ่งไผ่เล็ก ๆ ออกมา กิ่งหนึ่ง
พี่คำภูมองไปที่หน่อไผ่ที่มีร่อยรอยตัดใหม่ ๆ และบอกพวกเราว่า
“แล้วเย็นนี้คงได้กิน แกงจืดหน่อไม้ดองของแม่คำภานะ”
(พี่คำภา เป็นภรรเมียของพี่คำภู ทำอาหารอร่อยสุดในจังหวัดแถบนี้ ตามความเห็นผม)
“ไป เดี๋ยวไปนั่งพักที่เพิงนั้น” พี่คำภูชี้ไปเพิงพักเล็ก ๆ อยู่ที่ยอดเนินไม่ไกล
พวกเราพักเหนื่อยที่เพิงไม้ไผ่นั้น ลมเย็นเอื่อย ๆ พัดมา ทำเอาเหงื่อที่ชุ่มหลังอยู่นิด ๆ ให้ได้เย็นสบายกันทุกคน
เพิงนี้ ก็ทำจากไผ่บงกอนั้นแหล่ะ ตัดแป๊บเดียว มันก็โตกลับมาเหมือนเดิม พี่คำภูบอก พร้อมออกความเห็นต่อว่า ไผ่นี่มีประโยชน์หลาย
กินหน่อก็ได้ เอามาสร้างบ้านก็ได้ กิ่งยังเอาไปตีวัวได้อีก
เสียงกระเดื่องวัว ดังก๊อง ๆ จากชายป่า เหมือนพวกมันรู้ว่า จวนได้เวลากลับคอกที่ตีนเขาแล้ว หลังจากพี่คำภูต้อนพวกมันออกมาหาหญ้ากินตั้งแต่เช้า
ความเงียบปกคลุม เสียงลมจากปลายยอดไม้ สานรับกันดีกับจังหวะของลม
“ไม้อะไรสวยสุดวะ ถ้าจะสเปคเอาไปทำปาร์เก้หน่ะ” สถาปนิกหนุ่มชาวเมืองเริ่มเปิดคำถามทำลายความเงียบนั้น
“ไม้แดงไหม จะได้แดงทั้งพื้น เท่ห์ดี”
“ไม้แดงไม่ค่อยใช้กัน มันแข็งไป ยืดหดตัวเยอะด้วย เดี๋ยวพื้นจะโก่งเป็นเนิน ๆ หมดบ้าน” สถาปนิกสาวให้ข้อมูล
“ไม้สักก็ดีนะ ปลวกไม่กิน สีสวยดีด้วย”
“กินเว้ย ถ้ามันหิว ๆ ก็กิน บ้านกรูนี่ โดนไปแล้ว”
“ชิงชันไง แข็งสุด แต่กว่าจะได้แต่ละชิ้น สามสิบปีหล่ะมั้ง”
“ไม้มะค่าไง แพงสุด แต่ต้องคัดสีให้เสมอกันด้วยนะ ไม่งั้นบ้านลายตาแย่”
ฯลฯ
เถียงกันทั้งวันคงไม่จบ พวกเราคงตัดสินกันไม่ได้ เลยหันไปถามพี่คำภู
พี่คำภูมองพวกเราเถียงกันอยู่นาน ตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ ยิ้ม ๆ ตามสำเนียงคนพื้นถิ่นเหมือนเคยว่า
“คนเมืองนี่หล่ะหนา ชอบตัดสินความงามจากสิ่งที่ตายแล้ว”
เย็นวันนั้น ขากลับจากเนินเขา ต้องผ่านป่าผืนเดิม
ฝูงสถาปนิกชาวเมือง ถูกต้อนด้วย
“กิ่งไผ่บง” ในมือพี่คำภู
พวกมันเหล่านั้น ยอมกลับไปกินข้าวเย็นแต่โดยดี
ขอบคุณอัจฉรา และพี่ณี ที่ช่วยย้ำข้อมูลต่าง ๆ