Thursday, December 14, 2006

ณ มุมเล็กๆ กับเทียนเล่มน้อย

คืนวันที่ห้า ธันวาคม เวลาหกโมงครึ่ง
พระองค์ท่านจะรู้หรือไม่หนอ
ที่มุมเล็กๆ ที่มุมถนน หัวมุมวัดพระแก้ว หน้าศาลหลักเมือง
มีคนรอรับเสด็จตรงนั้นอยู่ ผมคะเนด้วยสายตา คงไม่ต่ำกว่าพันคน

ทุกคนชะเง้อ เขย่ง เบียดเสียด
ลมพัดมาเป็นระยะห่างๆ แต่ไม่พอที่จะบรรเทาความร้อนจากการเบียดเสียดได้

พี่ร้อยตำรวจเอก จิตวิทยาสูงคนหนึ่ง เห็นสภาพการณ์
หันมาบอกกับทุกคน “เห็นไฟแว๊บๆ ก็พอแล้วเนอะ”

แก้มที่ยกขึ้นจากรอยยิ้ม ของคุณป้าข้างๆ คงเป็นคำตอบที่ดี

อีกข้างหนึ่งของผมเป็นพ่อแม่ มากับลูกสาวตัวน้อยสองคน
สาวตัวน้อยทั้งสอง ที่อยู่ในหลุมกำแพงคน ร้อนเหงื่อออก แต่ไม่งอแง
พ่อสลับกันอุ้มขึ้นมาจากหลุมคนตรงนั้นเป็นระยะ

ผู้คนคับคั่ง เบียดเสียด
ถ้าไปดูการแสดง คงมีได้โวยวายกันบ้าง
แต่ผมเชื่อว่า ทุกคนตรงนั้น เต็มใจมา

เวลาก่อนทุ่มเล็กน้อย
พี่ร้อยเอกคนเดิมขอร้องให้ทุกคนนั่งลง ด้วยหน้าตายิ้มแย้มเหมือนเคย
“เอ้า คนไทยนั่ง”
“เอ้า ฝรั่งนั่ง”
นักท่องเที่ยวหลายคน ที่ยืนอยู่ถัดไปแถวสอง แถวสาม หน้างงๆ แต่นั่งลงตามเพื่อนคนไทยที่หัวเราะอยู่รอบข้าง

ตำรวจหันไปยืนประจำที่แล้ว เป็นสัญญาณที่ในหลวงจะเสด็จผ่านในไม่ช้านี้
แม้จะมองเห็นแค่รถพระองค์ท่าน เป็นไฟแว้บๆ ไกลๆ
เป็นภาพที่ลอดแถวตำรวจที่บังอยู่ และผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประมาณห้าวินาที
แต่เสียง “ทรงพระเจริญ” ที่ทุกคนในที่นั้นร้องตะโกน
เสียงธงโบกอย่างพร้อมเพรียง
เป็นบรรยากาศที่บรรยายไม่ถูกจริงๆครับ

ปีนี้เป็นปีแรกที่ผม ได้มาจุดเทียนชัยถวายพระพร ที่ท้องสนามหลวงจริงๆ ซะที
หลังจากที่เคยจุดหน้าทีวีมาหลายครั้ง

จากเทียนเล่มน้อยของผม ที่ได้เพื่อนผู้ใจดีอุตส่าห์หยิบมาฝาก
ผมคงเป็นดวงเทียนหนึ่งดวงในหลายล้านดวง
และคงเป็นเสียงเล็กๆ ในอีกหลายล้านเสียง ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และสดุดีมหาราชาอย่างภูมิใจในพระองค์ท่าน

ท่านเคยเขียนในบันทึกส่วนตัวของพระองค์ท่าน
ในระหว่างทางที่ท่านเสด็จนิวัตรกลับไปศึกษาต่อ
เมื่อทรงได้ยินเสียงตะโกนจากพสกนิกรว่า "ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน"
พระองค์ท่านได้ตอบกลับในพระราชหฤทัยว่า “เราจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร ถ้าประชาชนไม่ทิ้งเรา”

หกสิบปีแล้ว ท่านทรงแสดงให้พวกเราเห็นแล้วว่า ท่านไม่ทิ้งประชาชนจริงๆ
ประชาชนไม่มีวัน และไม่แม้แต่จะคิดจะทิ้งท่าน

ขอพระองค์ จงทรงพระเจริญ”