Saturday, December 27, 2008

มุมมองที่เปลี่ยนไป

มุมมองที่ผมมีต่อโลก เปลี่ยนไป

สมัยเด็ก ผมมองโลกแบบ You are ok, I’m not ok.
ผมขี้อิจฉา ผมโลภ ผมหลง

มหาวิทยาลัย นอกจากให้กระดาษผมหนึ่งใบแล้ว
ยังได้ให้ผมรู้จักกับมุมมองใหม่
ผมมองโลกเปลี่ยนไป เป็น You are ok, I’m ok.

ผมใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ มีความสุข ทุกอย่างเป็นสิ่งสวยงาม น่าค้นหา ท้าทาย

ผมใช้ชีวิตมาสักพัก
ผมกลับเกิดคำถามในความไม่เข้าใจสิ่งรอบตัว
เมื่อผมทำความเข้าใจมันมากขึ้น
ผมพบว่า ปัญหาที่ท้าทายเหล่านั้น "มันไม่มีทางแก้"

มุมมองของผม เปลี่ยนไปสู่ You are not ok. I am ok.
ผมเริ่มเปลี่ยนการมองสังคมจาก “เข้าใจ” เป็น “ทำใจ”

ผมไม่แน่ใจ ว่าผมจะมีความสุข หรือ ทำใจให้สุขกับสังคมนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่

บทความนี้ ไม่มีทางออก
แคบ่นเฉยๆ

Tuesday, December 09, 2008

จันทร์เอ๋ย จันทร์ยิ้ม



จันทร์เอ๋ย จันทร์ยิ้ม
ยิ้มสุขพริ้ม ยิ้มฉงน หรือยิ้มหยัน
จันทร์เห็นเรา เราเห็นจันทร์ ต่างคิดกัน
ปากแย้มนั้น เหมือนว่ายิ้ม หมายต่างเอย


ปรากฏการณ์ จันทร์ยิ้ม
ต้องเรียกว่า ปรากฏการณ์จริงๆ นะครับ
ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นแบบพร้อมๆ กันได้ขนาดนี้
กล่าวคือ
ดาวศุกร์ (ตาด้านซ้าย) ลุกโชนสว่าง เพราะอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์มาก
ดาวพฤหัส (ตาด้านขวา) สว่างนิ่งๆ นวลๆ แม้จะห่างจากตาซ้ายหลายล้านกิโลเมตร
ดวงจันทร์ (ปากยิ้ม) อยู่ในตำแหน่งรับแสงเสี้ยว เหมือนปากยิ้ม
โลก อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ทำให้เราสามารถเห็นดาวเคราะห์ทั้งสามดวงได้ ในตำแหน่งที่มีความหมาย

ตั้งแต่เริ่มวัฒนธรรมมนุษย์มา เราเริ่มตีความสิ่งที่เห็นบนท้องฟ้าไปต่างๆ นานา
สมัยสามก๊ก ขงเบ้ง สุมาอี้ สามารถคาดเดาการตาย การเปลี่ยนเจ้าเมือง จากดาวหรี่ดับ
สมัยยุคกลาง การระเบิดของซูเปอร์โนวา ก็กลายเป็นเหตุการร้ายได้มากมาย
สมัยอยุธยา พงศาวดารกล่าวอ้างว่าดาวหางคือสัญญาณแผ่นดินเปลี่ยน

ตำแหน่งของดาวสี่ดวงจะมาเรียงตัวคล้ายๆ กันอีกครั้งในเช้ามืดวันที่ 23 เมษายน 2552
การตีความกับความหมายของการยิ้ม คงต่างกันไปตามบริบทสังคมตอนนั้น

ทางการแพทย์พิสูจน์แล้วว่า การที่เราอยู่ใกล้คนยิ้มเก่ง ยิ้มบ่อย เราจะยิ้มและมีความสุขไปด้วย เหมือนเป็นโรคติดต่อ
การคาบปากกา ให้ปากอยู่ในตำแหน่งเหมือนยิ้ม เมื่อดูหนังตลกจะตลกขึ้น
และหนังตลกถ้ามีเสียงหัวเราะนำให้ถูกจังหวะ ความตลกก็จะเพิ่มขึ้น
การแกล้งยิ้มหัวเราะทุกเช้า วันนั้นจะเริ่มด้วยความสุข
เมื่อเกิดปัญหารุมเร้า หาทางออกไม่ได้ ทางเดียวที่ทำได้คือ “ยิ้มสู้”

ในคืนจันทร์ยิ้มนั้น มุมเล็กๆ แถวถนนพัฒนาการ
คุณน้าผม กำลังอยู่ในช่วงเวลาการบำบัดคีโม หลังตรวจพบมะเร็ง
ท่านเดินกับแม่ผม ใต้แสงจันทร์ยิ้มนวล
ท่านบอกว่า ไม่เคยเห็นจันทร์ยิ้มแบบนี้เลย ตลอดห้าสิบกว่าปีที่ผ่านชีวิตมา
ท่านบอก คงต้องยิ้มสู้กันต่อไป

เมื่อการยิ้มเป็นสิ่งดี ถ้าจันทร์ยิ้มอยูบนฟ้าทุกคืนก็คงดีไม่น้อย
แต่จันทร์มองเราแล้ว คงยิ้มไม่ออก หรือคงยิ้มในความเหนื่อยหน่ายของมนุษยชาติ

แต่ในเมื่อจันทร์มองเราแล้วไม่ยิ้ม
ทำไมเราไม่มองจันทร์แล้วยิ้มดูหล่ะครับ


ลองยิ้มให้กับท้องฟ้าที่ยังสดใสปลอดโปร่งเพียงพอให้เรามองจันทร์ได้
ลองยิ้มให้กับเวลา และกล้ามเนื้อ ที่เรายังมีเพียงพอ ให้มีเวลา และกำลังเพียงพอในการเงยหน้ามองจันทร์ ทั้งที่หลายคนบนโลกกลับไม่มีเวลา หรือไม่มีกำลังเพียงพอเหมือนเรา
ลองยิ้มให้กับโอกาสของชีวิตนี้ ที่ได้เกิดมามองจันทร์ ที่ยังมีอะไรดีๆ ให้ทำอีกตั้งเยอะ


ว่าไหมหล่ะครับ?

Tuesday, December 02, 2008

ประเทศไทย ท่าจะแย่

วันนี้ครบหนึ่งอาทิตย์ที่ สนามบินสุวรรณภูมิปิดตัวลง

ผมเพิ่งส่งนักท่องเที่ยวตกค้างกลุ่มหนึ่ง ขึ้นเครื่องที่ อู่ตะเภา

ผมได้มีโอกาสเดินทางไปที่ต่างๆ ในช่วงนี้ พบคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว
สืบความจากเหตุการณ์ได้ดังนี้

พี่ที่รู้จัก เจ้าของโรงแรม พัทยา-ภูเก็ต
“ช่วงนี้ทำไงหล่ะพี่?” ผมถาม
“ส่วนช่วงนี้ก็ให้แขกพวกที่ไม่มีตังค์แล้วยังตกเครื่อง อยู่ฟรีไปเลย
ภาพพจน์ประเทศ มันก็ต้องช่วยๆ กันหว่ะ
แต่เดือนหน้าท่าจะแย่ แขกยกเลิกการจองไปแล้วเยอะเลย
ก็คงต้องประหยัดกันให้มากที่สุด ประคองๆ กันไป
เดือนต่อๆ ไป ก็ลุ้น สู้กันใหม่”


ป้าคนขายตั๋วเข้าวัดอรุณ
“กระทบอะไรไหมป้า?” ผมยืนคุยด้วย
"เชื่อไหม สามวันมานี้ นักท่องเที่ยวเหลือ 5 เปอร์เซนต์ ถ้ายังแบบนี้ จบกัน" คุณป้าตอบ

หมอนวดแผนไทย วัดโพธิ์
“มีผลอะไรไหมครับช่วงนี้?” ผมยิงคำถามขณะกำลังใช้บริการนวดเท้า
“นี่ก็ได้น้องเป็นลูกค้าคนแรก วันนี้นี่แหล่ะ ปกติบ่ายๆ แบบนี้ มีไม่น้อยกว่า สามสี่คนแล้ว เป็นแบบนี้ต่อไปท่าจะแย่”

หลายโรงแรมที่ภูเก็ตและหัวหิน ลงทุนเร่งงาน เพื่อเปิดให้ทัน ฤดูท่องเที่ยวนี้
กำลังจะพบความยากลำบากเข้าขั้นหายนะ
ส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ พังทลายทั้งระบบ
ตั้งแต่โรงนวด สปา อาหารหรู ส้มตำริมหาด ที่จัดสัมมนา บริษัทออกแบบ ผู้รับเหมาก่อสร้าง รถเช่า เรือเช่า จองตั๋วเครื่องบิน ขายของที่ระลึก ยันโชว์อาคัลซ่า ฯลฯ
ท่าจะแย่

ความเห็นผม
นายเสรีรัตน์ ผอ.การท่าฯ คือ ตัวการทำลายประเทศไทย จำเลยที่หนึ่ง
ผมไม่เข้าใจว่า การท่าอากาศยานฯ จะปิดสนามบินทำไม?

ผู้ประท้วง ปิดถนนทางเข้าชั้นสี่ของสนามบินเท่านั้น
ซึ่งตอนแรกยังไม่เข้าไปในอาคารผู้โดยสารเลยด้วยซ้ำ
Air-Side ที่เป็นรันเวย์ และทางเชื่อมเครื่องบิน ยังทำงานได้ปกติ
Cargo ที่แยกถนนทางเข้า และใช้รันเวย์ ก็ไม่กระทบ
แต่การท่าอากาศยานฯ กลับเลือกที่จะปิดตายสนามบินทั้งหมด


ผมไม่เข้าใจหนักเข้าไปอีกว่า
การท่าจะปิดสนามบินนานาชาติที่เชียงใหม่ และภูเก็ตด้วยทำไม?


ทำให้ผมวิเคราะห์ออกมาเป็นเหตุผลเดียวว่า
“นี่คือการเอาความเดือดร้อนของประเทศไทย เป็นเครื่องมือทางการเมืองชัดๆ”
ด้วยการดันความผิด และลดความชอบธรรมให้การประท้วงของพันธมิตรฯ

จำเลยที่สองในการทำลายประเทศไทยคราวนี้คือ รัฐบาลไทย โดยกระทรวงคมนาคม
ที่กระบวนการรองรับความเดือดร้อน เข้าขั้น “โหลยโท่ย” หรือ ทำงานไม่เป็น และมั่วอย่างร้ายแรง


เมื่อวันศุกร์ หลังจากผ่านการปิดสนามบินมาสามวัน
รัฐฯ ประกาศว่า สี่โรงแรม สามารถรองรับนักท่องเที่ยวตกค้างได้
ผมรอจนวันเสาร์ และเห็นประกาศตามเวบไซต์สถานทูตต่างประเทศ คาดว่าคงใช้งานได้แล้ว
สามในสี่โรงแรมที่ผมโทรไป บอกทำนองเดียวกันว่า “รัฐบาลมั่ว ไม่ได้ส่งอะไรเจ้าหน้าที่อะไรมาเลย นี่รับสายจนจะไม่ไหวแล้ว”
สุดท้ายที่โรงแรมเซนทารา หลังจากโทรทั้งวันเสาร์ ผมโทรติดตอนสามทุ่มครึ่ง บอกว่า “ที่นี่รับแต่สายการบินไทย สายการบินอื่น ไม่รู้ ไม่มีข้อมูล”


ส่วนเบอร์โทรศัพท์ต่างๆ ที่ทางรัฐบาลให้ ไม่ว่าจะเป็นสนามบินอู่ตะเภา สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว

สายเหมือนจะยุ่งจนติดต่อใครไม่ได้ เช่นเดียวกับสายการบินต่างประเทศอื่นๆ


และแย่ที่สุดคือ ทั้งที่นักท่องเที่ยวติดค้างสามวัน และจะเข้าสู่วันที่สี่ และห้า และหก
กลับไม่มีหน่วยงานรัฐฯ อันไหนที่เหมือนจะมีหน้าที่รับผิดชอบ เปิดทำงานหลังห้าโมงเย็น และทำงานวันเสาร์อาทิตย์


รัฐฯ บอกจะให้สองพันบาทต่อวัน สำหรับกับนักท่องเที่ยวที่ติดค้าง กลับกลายเป็นคำพูดเอาหน้า
เมื่อถามหารายละเอียดกลับไม่ได้เรื่องสักที่ ถามไป บอกไม่มีใครรู้ โยนไป โยนมา

นักท่องเที่ยวที่ผมดูแล บอกตรงกันว่า “ไม่มีใครอยากมาประเทศนี้แล้ว” ส่งผลให้คนที่บ้านเขาบอกเช่นเดียวกัน
เหตุการณ์นี้ ผมย้ำความเชื่อที่สิ้นหวัง และประสบการณ์ในหัวที่ว่า
· การที่นักการเมือง จะแก้ปัญหาเพื่อประชาชนนั้น หากไม่มีผลประโยชน์ มันจะไม่ทำงาน
· รัฐมนตรีถูกแต่งตั้งด้วยระบบโควต้า ไม่มีความรู้ และไม่มีความสามารถพอในงานที่รับผิดชอบ
· ข้าราชการไทยปัจจุบัน นอกจากฟังคำสั่งนักการเมืองแล้ว ก็ทำอะไรไม่เป็นนอกจากงานในหน้าที่ และไม่เคยจะทำอะไรเพื่อประชาชน
· คำว่า “ธุระไม่ใช่” คือคำพูดของคนประเทศนี้ ที่ไม่เคยคิดจะแก้ปัญหาเพื่อส่วนรวมใดๆ ทั้งสิ้น
· หรือสิ่งดีๆ เพื่อประชาชนในประเทศนี้ มันจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีการปฏิวัติ


สำหรับเหตุการนี้ หากลองคิดแก้ปัญหาดู อาจทำได้ดังนี้
ความเร่งด่วนแรก ภายในสี่ชั่วโมงแรก คือ
ข่าวสาร พร้อมรับเรื่องความเดือดร้อนแบบอ้างอิง และติดตามได้
เวบไซต์ สาย Hotline และเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ต้องจัดตั้งภายในสี่ชั่วโมงแรกของความเดือดร้อน
เพื่อระงับความสับสน และลดความเดือดร้อน พร้อมมอบหมายเลขอ้างอิง สำหรับข้อมูลที่นักท่องเที่ยวจะได้ไม่ต้องเล่าเรื่องใหม่ทุกครั้งที่ติดต่อเข้ามา

เร่งด่วนที่สองคือ ภายในแปดชั่วโมง คือ
การประสานงานเตรียมความพร้อมของสนามบินใกล้เคียง และประสานงานให้กับสายการบินต่างประเทศ ทั้งขาเข้าขาออก

เร่งด่วนที่สาม ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง คือ
การอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น การเตรียมล่าม การเตรียมรถขนส่ง อาหาร ส้วม โรงแรม เครื่องใช้สำนักงาน ประสานงานกับเจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่น อำนวยจราจร สถานพยาบาล ฯลฯ

เร่งด่วนที่สี่ คือ
การเยียวยาความเสียหาย เช่น การชดใช้ค่าโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดือดร้อน อาจเป็นการให้กรอกข้อมูลทิ้งไว้ แล้วจัดการภายหลังตามไป อาจมีการมอบที่พัก หรือ แพ๊คเก็จทัวร์ให้ตามไปเพื่อกู้สถานการณ์ ฯลฯ

นี่คือสิ่งที่ผมคิดได้ภายในหนึ่งชั่วโมง
ซึ่งหากรัฐบาลทำงานเป็น และจริงใจแก้ปัญหา
คงคิดได้มากกว่านี้อีกหลายเท่า

และความเดือดร้อนจะไม่รุนแรงขนาดนี้


“สุดท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนไตร และสิ่งศักดิ์สิทธิในสากลโลก
ช่วยทำให้พวกเหี้ยห่า จัญไร ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เอาประเทศเราไปหาผลประโยชน์
ไม่เคยคิดถึงประเทศชาติ และประชาชน
จงไม่มีอำนาจ และจงถูกควบคุม ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายได้อีกต่อไป”

Sunday, September 14, 2008

การเมืองใหม่

หากเทียบว่า ประเทศไทยคือ ซีพียูตัวใหญ่
การฟอร์แมตเครื่อง กลับไปใช้จอเขียวอีกครั้ง เมื่อวันที่ 19 กย. 49
เพื่อแก้ไวรัส วายร้ายที่พัฒนาจากเดิมที่กินได้แค่ ซอฟท์แวร์บางตัว แต่กลับเริ่มกินหน่วยความจำหลัก ทำลายระบบไวรัสสแกนจนหมด
แถมไวรัสยังปลอมตัวเป็นไวรัสสแกน ทำให้โปรแกรม และข้อมูลดีหลายอันถูกจับเป็นไวรัสแทน

การฟอร์แมตแต่เริ่มแรกระบบภายในเหมือนจะดี ด้วยการติดตั้ง โปรแกรมสแกนไวรัสจำนวนมาก
ข้อเสียอย่างเบาๆ ของจอเขียวคือทำอะไรก็ชักช้าไปเสียหมด
แต่ข้อเสียอย่างร้ายแรงของระบบจอเขียวคือ “เข้าอินเตอร์เน็ตไม่ได้”

เลยต้องเปลี่ยนไปติดตั้งระบบปฏิบัติการ วินโดว์จอสี เหมือนเดิมเมื่อปลายปี 50
แต่โปรแกรมตัวนี้ ถูกย้อมแมวมาขาย ระบบเริ่มรวนตั้งแต่การติดตั้ง
เมื่อลงซอฟท์แวร์ไม่ได้บางตัว ฟ้องเตือนว่า error ตลอดการติดตั้ง
ระบบ ไวรัสสแกน ที่ถูกติดตั้งตั้งแต่สมัยจอเขียว ตรวจเจอไวรัสบางตัวร้ายแรงถึงขั้นนำทรัพยากรภายในเครื่องไปยกให้บริษัทข้างบ้านแบบถูกลิขสิทธิ์ และพบว่าไวรัสตัวนี้ ฆ่าไม่ตายง่ายๆ

จะฟอร์แมตเครื่องอีกหนเป็นจอเขียว ก็เกรงว่าเครื่องจะพังลงในคราวนี้
จะเข้า SAVE MODE ทำรัฐบาลแห่งชาติ จะยั่งยืนได้หรือไม่?
(และก่อนเข้าจะทำอย่างไร ถ้าไม่ต้องจอเขียว?)
หรือ จะต้องเลหลังขายเครื่องทิ้งให้บริษัทต่างชาติไปซะ!!!

หรือบางทีนั้น ไวรัสตัวนี้ มันเกิดจาก bug&error ด้วยพื้นฐานของตัวเครื่องเราเอง

มักง่าย ขี้ลืม รักสบาย
สามพื้นฐานที่ฟอร์แมตกี่ครั้งก็ไม่หาย มันเป็นธรรมชาติแบบไทยๆ มาแสนนาน
- มักง่ายในการขับรถ แทรกคอสะพาน มักง่ายแทรงคิวซื้อตัวหนัง มักง่ายเดินลัดสนาม ทิ้งขยะไม่เป็นที่
- มักง่ายในวงราชการ คือการวิ่งเต้น เลียแข้งขา เพื่อการเติบโตแบบง่ายๆ ไม่ต้องทำงานมีให้เห็นอยู่ทั่วไป
- มักง่ายดูบอลสนุกของต่างประเทศ บอลไทยอาชีพไม่พัฒนา ไม่มีใครดู บอลไทยก็ไม่มีวันไปบอลโลกตลอดกาล
- ขี้ลืม ตื่นกระแส ไม่ศึกษาประวัติศาสตร์ โดนผู้นำพูดเก่งลากไปลากมา
- รักสบาย เล่นหวยหุ้นหวังรวย
- รักสบาย อยากให้บ้านเมืองดีขึ้น แต่ไม่ทำอะไรสักอย่าง แล้วมันจะดีขึ้นได้อย่างไร
ยิ่งน่าเศร้าเมื่อ องค์การบริหารนิสิตนักศึกษา ทำเป็นแค่จัดการปิดมหาวิทยาลัยรับน้องเต้นไก่ย่าง
บอลจุฬาธรรมศาสตร์ มีจุดเด่นที่การเปิดตัวหลีดเดอร์ และนัดพบเพื่อนโรงเรียนเก่า

อันนี้ยังไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือ การหายไปของ “จิตสำนึกสาธารณะ”
ความละอายในชั่ว เกรงกลัวต่อบาป ของคนไทย สูญหายไปอย่างรวดเร็ว
คนอย่างศรีธนนชัย คนอย่างทักษิณ เกิดขึ้นทั่วทุกหัวระแหง
การตะแบงกฏหมาย เพื่อเบียดบังประโยชน์สาธารณะ
มาตรฐานมารยาทความรับผิดชอบต่อสาธารณะถูกถ่างออกจนตกต่ำ

“ตุ๊กตาการเมืองใหม่” ให้มีผู้แทนจากทุกอาชีพ เข้าไปบริหาร
ก็เชื่ออย่างสิ้นหวังว่า เหล่าศรีธนนชัยการเมืองก็จะแทรกเข้าไปในกระบวนการเลือกอยู่ดี

ผมมองว่า “การเมืองใหม่” จะเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ต้องทำ “สังคมใหม่” เสียก่อน
มักง่าย ขี้ลืม รักสบาย คงไม่หายไปง่ายๆ ถ้าเรายังอยู่ในภูมิศาสตร์แบบนี้
แต่ “จิตสำนึกสาธารณะ” ที่หายไป ต้องเอาคืนมาให้ได้ก่อน

ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันทำ
คุณครู อาจารย์ ต้องกู้การศึกษา ต้องรณรงค์ และกวดขันเรื่องจริยธรรม และสำนึกต่อสังคมส่วนรวม
สื่อมวลชน ต้องกลับมาทำหน้าที่อย่างถูกต้อง แบบไม่ต้องบังคับ
นักวิชาชีพ สถาปนิก วิศวกร แพทย์ เดินตามทางตรงๆ อย่างมีจรรยาบรรณ
ตำรวจต้องบังคับกฎหมายอย่างเคร่งครัด ยุติธรรม ไม่รับสินบน
นักการเมือง คงเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะถูกเปลี่ยน เมื่อทุกคนเปลี่ยน

ผมอาจจะฝันไป แต่อยากจะฝันดีๆ แบบนี้ เมื่อชีวิตจริงมันคือฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่นได้นี่สิครับ

Wednesday, August 27, 2008

Next Blog...

สำหรับคนเล่นบล๊อก
คุณเคย กดปุ่มข้างบนที่อยู่ตรงเมนู "Next Blog" หรือเปล่าครับ?

ผมก็ไม่เคยหรอก ก็เลยลองคลิ๊กปุ่มที่ว่า ไปเรื่อยๆ ดู
ปรากฏว่า
มันคือการ"เที่ยวรอบโลก"แบบหนึ่ง

แต่มันเป็นการเที่ยวเชิงลึก
เหมือนไปกดกริ่งประตูบ้านต่างๆ

ผมพบว่า บ้านต่างๆ พอจะแบ่งเป็นดังนี้
ประมาณ 30% เปิดร้านขายของ แนะนำสินค้า แปะรูปของตัวอย่าง ต่างๆ นานา
ประมาณ 30% อยู่บ้านคนเดียว เล่าเรื่องของตัวเอง งานปาร์ตี้ เหมือนบันทึกประจำวัน
ประมาณ 20% อยู่เป็นครอบครัว เล่าเรื่องลูกๆ เสียเป็นส่วนใหญ่
อีกประมาณ 20% เป็นผู้สร้างสรรค์ เป็นนักวิชาการ สรรหาของแปลกๆ มาแปะ วิจารณ์ความเป็นไปของโลก ค้นหาส่วนเติมเต็ม

ผมพบภาษาตั้งแต่ อังกฤษ รัสเซีย นอร์เวย์ อารเบีย ยิว จีน เวียดนาม ญี่ปุ่น สเปน เยอรมัน เสียดายไม่เจอไทย
สำหรับภาษาอังกฤษ (ที่เป็นภาษาเดียวที่ผมพอจะอ่านออก) ผมพบว่ามีคนเขียนตั้งแต่ ออสเตเรีย อังกฤษ อเมริกา มาเลเซีย ฯลฯ

ผมเจอชมรมตั้งแต่ Hip-Mom ตกปลา ขี่จักรยาน สเก็ตบอร์ด คนรักหมา ยันผู้ชื่นชอบสถาปัตยกรรมร่วมสมัย

มีเวลาว่างสัก 5-10 นาที
ลองเล่นดูสิ สนุกดีนะครับ

Sunday, August 17, 2008

08-08-08 วันแรกของวันที่เหลือ

พิธีเปิดโอลิมปิคเกมส์ เมื่อวันที่แปด เดือนแปด ปีสองพันแปด ทำได้อย่างอลังการ แม้จะมีคนบอกตำหนิว่า สิ่งที่เห็นในสนามจะแตกต่างกับสิ่งที่ถ่ายทอดไปทั่วโลก
แต่คิดในมุม จาง อี้ โหม้ว ผู้กำกับว่า
"คนในสนามรังนกเรือนแสน จะเทียบอะไรกับคนทางบ้านอีกพันล้านหล่ะ?"

ไม่แน่ว่าในอนาคตอันไม่ไกลนี้ พิธีเปิดโอลิมปิก จะเป็นหนังสามชั่วโมงเรื่องหนึ่ง ที่มีแค่ช่วงเดินพาเหรดของนักกีฬาที่เป็นภาพจริง

โอลิมปิกครั้งนี้ คงจบไปอย่างอลังการที่สุด แต่คนที่ผมรู้จัก กลับมาจากจีนช่วงปีนี้ด้วยความไม่ค่อยประทับใจต่อคนจีนซักเท่าไหร่ เพราะเรื่องการท่องเที่ยว ธรรมชาติคนจีนไม่ใช่คนที่ต้อนรับขับสู้เหมือนคนไทย
เรื่องภาษาอังกฤษ คงเป็นอุปสรรคใหญ่ที่คนจะเที่ยวประเทศจีนต้องคิดหนัก แต่ต่อไปจีนคิดว่ามันอาจไม่ใช่ปัญหา
ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่รีบเร่งบีบคั้น คนจีนเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ มีแนวโน้มจะโกรธ และรำคาญชาติอื่นที่พูดภาษาเขาไม่ได้

จากปัจจุบัน การที่จีนเป็นฐานการผลิตสินค้าที่ใช้กันทั้งโลกกว่าหกสิบเปอร์เซนต์ ทำให้สิบปีที่ผ่านมา คนจีนมีฐานะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ชนชั้นกลางกว่าหลายร้อยล้านครัวเรือน ย่อมอยากมีรถ อยากมีบ้านเดี่ยว อยากกินหูฉลาม
เป็นการเหยียบคันเร่งอย่างแรงของภาวะโลกร้อน และปัญหาสิ่งแวดล้อม
การเพิ่มจำนวนปศุสัตว์ทำให้ทำลายทุ่งหญ้าในแถบมองโกเลียใน ทำให้พื้นที่เป็นทะเลทราย กลายเป็นพายุทรายกระหน่ำกรุงปักกิ่ง

การมีจำนวนรถจำนวนมากขึ้น จำเป็นต้องถลุงเหล็กด้วยพลังงานถ่านหิน เมื่อถอยรถออกไปใช้ ก็ต้องใช้น้ำมันจากซากฟอสซิล การบริโภคอาหารที่ต้องการหีบห่อจำนวนมาก เพิ่มปริมาณคาร์บอนในชั้นบรรยากาศอย่างมาก

ฉลามลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากโดนตัดครีบเพื่อส่งเข้าครัวในภัตตาคารเหลาสุดหรู ทำให้ปลาที่เป็นเหยื่อมีปริมาณมากขึ้น แพลงตอนพืช และสาหร่ายทะเลลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่สามารถลดปริมาณคาร์บอนได้เท่าเดิม
แน่นอนว่าข่าวร้ายพวกนี้ เป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้ และก็ไม่เป็นธรรมนักหากจะห้ามชนชั้นกลางจีนไม่ให้บริโภคทรัพยากรมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งพวกเขาก็ติดภาพสังคมบริโภคของสหรัฐอเมริกา

เมื่อเงินได้มาอย่างง่าย แต่ความสามารถทางสังคมยังไม่พัฒนาตาม สิ่งที่เห็นในโอลิมปิกจึงเป็นภาพสะท้อนอะไรบางอย่าง เช่น การที่คนจีนไม่รู้จักเข้าคิว การที่ไม่รู้มารยาทการชมกีฬา ฯลฯ

คนจีนบางจำพวก เมื่อเห็นคนอื่นเริ่มมีฐานะ ก็อยากมีอยากได้บ้าง แต่ด้วยความสามารถที่ไม่เพียงพอ บวกความมักง่าย ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคนที่ไปประเทศจีน จะมีประสบการณ์ว่าคนจีนไม่ซื่อสัตย์ และฉกฉวยโอกาส ฉ้อโกงทั้งทางตรง และทางอ้อม
กฎระเบียบของทางราชการ มีความซับซ้อนคล้ายกับประเทศไทย การขออนุญาตทำอะไร เป็นเรื่องยุ่งยากไปเสียหมด
ซึ่งเป็นช่องทางของการคอร์รัปชั่นทั้งตามน้ำ และทวนน้ำ

ข่าวแม่น้ำโขงไหลเอ่อทั่วสองริมฝั่ง ตั้งแต่เชียงราย ถึงหนองคาย เวียงจันทน์ และความเดือนร้อนกำลังลามลงไปทางท้ายน้ำ มีหลายคนสัญนิษฐานและตั้งคำถามถึงสาเหตุว่า เกิดจากการที่จีน ทำเขื่อนกั้นน้ำลำน้ำโขง จำนวนแปดแห่งในมณฑลยูนาน เพื่อนำไปผลิตไฟฟ้ารองรับพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่หรือไม่?

แล้วชาติผู้ได้รับผลกระทบอย่างพม่า ลาว ไทย กัมพูชา เวียดนาม ที่มีเงินจีนลงทุนทางธุรกิจจำนวนมหาศาล จะกล้ารวมตัวเรียกร้องใดๆ หรือไม่?

ข่าวไข้หวัดนกเมื่อสองปีก่อน มีคนจีนหัวเส ทำวัคซีนปลอมออกขาย ด้วยการเจือจางวัคซีน และขายราคาถูก ซึ่งหารู้ไม่ว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้เชื้อกลายพันธุ์ และแข็งแรงขึ้นจนกลายเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาและป้องกัน อันเป็นผลกระทบระดับมนุษยชาติ

หนังสือต่างประเทศได้เปรียบจีน ว่าเหมือน ยักษ์ตื่น หรือมังกรขยับตัวแล้ว ซึ่งก็เป็นการเปรียบที่ได้เห็นภาพ แต่อีกทางหนึ่ง กล่องแพนโดร่าอีกกล่องหนึ่งที่ได้ถูกเปิดออก หากทั้งโลกยังไม่มีทางออกใดๆ

เป็นกล่องแพนโดร่ากล่องใหญ่ ที่จะส่งผลกระทบกับโลกทั้งโลกได้เร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นการนับถอยหลังในวันแรกของวันที่เหลือนั่นเอง

Sunday, May 25, 2008

บทเรียนจากความพิการ

เดือนก่อน ผมมีโอกาสไปดูงานที่บ้านนนทภูมิแถวปากเกร็ด

บ้านนนทภูมิ เป็นบ้านเลี้ยงเด็กพิการภายใต้การสนับสนุนของรัฐ ภายใต้สถานสงเคราะห์เด็กพิการ และทุพพลภาพปากเกร็ด ก่อตั้งตั้งแต่ปี 2513 รับฟื้นฟูเด็กพิการทางร่างกายทั้งชายและหญิง อายุ 7-14 ปี เพื่อให้เขาสามารถฟื้นฟูสมรรถภาพ เพื่อไม่เป็นภาระกับสังคม

หากเป็นยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง สมัยพรรคนาซีเรืองอำนาจ ใครคนใดเป็นผู้พิการ หรือเด็กทุพพลภาพ ต้องนำไปประหาร เนื่องจากไม่เป็นผลดีกับประเทศชาติในการเสียงบประมาณเพื่อเลี้ยงดู โดยไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น มองในแง่ตัวพวกเขาเอง พวกนาซีก็คงคิดว่า จะปล่อยให้อยู่ไปอย่างไร้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไปทำไมกัน

ซึ่งเพียงแค่คิด หลายคนคงแย้งว่า ช่างไร้มนุษยธรรม หรือบางคนคงคิดว่า ไม่เป็นลูกหลานตัวเองก็คงไม่รู้สึก

ในห้องเด็กพิการซ้ำซ้อน น้องบางคนมีความสามารถของพืช ไม่สามารถขยับได้ มีการตอบสนองเพียงเล็กน้อย ผมเคยอ่านเรื่องเล่าเกี่ยวกับนรกภูมิ ว่ามีบางขุม หากใครไปเกิดในขุมนั้น จะเป็นเพียงสัตว์ที่มีลักษณะพิเศษ เช่นไม่มีหนังหุ้ม ทำให้ต้องปวดแสบปวดร้อนแม้สัมผัสเพียงลมพัด หรือบางภูมิไปเกิดเป็นตัวประหลาดที่มีแต่จมูก เกิดอยู่บนโลกแห่งควันไฟ เกิดมาเพียงหนึ่งวินาทีก็ต้องสูดหายใจเข้า และสำลักควันไฟนั้นตายไป และเกิดใหม่

หรือการที่ได้เกิดมาอยู่ในสภาพนี้อาจเป็นบางภูมิของนรก สำหรับคนที่เคยอ่านหนังสือเรื่อง “เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน” คงคิดไปในทางเดียวกันว่า นี่คงเป็นผลกรรมจากการทำ “ปาณาติปาต” เมื่อชาติปางก่อน



น้องอุ้ม เด็กพิการซ้ำซ้อน อายุสิบสองปี หน้าตาดีถึงขั้นเป็นดาราได้ หากไม่พิการ วันนี้น้องอุ้มทำได้เพียงแค่ตอบโต้กับคำถามง่ายๆ พูดได้คำสั้นๆ ลุกเดินขับถ่ายเองไม่ได้ จำเป็นต้องอาศัยพี่เลี้ยง และดำรงชีวิตอยู่บนเตียงเป็นส่วนใหญ่

ผมถามเจ้าหน้าที่ถึงสาเหตุของเด็กพิการ ได้ความว่า บางคนมาจากพ่อแม่ที่ไม่ตั้งใจตั้งครรภ์ และกินยาขับแต่ไม่ออก ส่งผลให้เด็กเกิดมาในสภาพพิการซ้ำซ้อน

มันเป็นสิ่งที่ย้ำในใจผมว่า หากไม่รักใคร หากไม่พร้อม อย่าเพิ่งมีเขา

ในมุมมองผม ที่นี่ ไม่ได้เป็นเพียงแค่บ้านสงเคราะห์เด็กพิการ แต่เป็นสถานที่สาธิตกฎแห่งกรรม เป็นสถานที่ที่เตือนใจให้ระวังตนเอง ระวังที่จะรักผู้อื่น ซึ่งจากการเยี่ยมชมที่นี่ คนที่ได้ประโยชน์อาจไม่ใช่เด็กหรือเจ้าหน้าที่ที่นี่ แต่คนที่ได้กลับเป็นพวกเราเอง


อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่ง

Friday, April 25, 2008

Long Live...the Water Manager

ภาพที่เราเห็นจนคุ้นตามานานหลายสิบปี คือภาพในหลวงเสด็จพระราชดำเนินไปตามต่างจังหวัดกล้องถ่ายรูปทรงสะพายกล้องถ่ายรูป ในมือทรงกำแผนที่ยับๆ มีรอยเขียนยุ่งไปหมด

ผมไม่ได้เห็นภาพนั้นสดๆ มาหลายปีแล้ว


วันนี้ ผมกลับมาบ้านตอนค่ำ เปิดทีวี ผมเห็นภาพในหลวง ทรงประทับนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ มีคนพับเพียบอยู่ข้างๆ กำลังถวายงาน

"ท่านกำลังจัดการน้ำ"

ผมเรียนมาจากเมืองนอก ในสาขาวิชา Facility Management หรือ การบริหารจัดการทรัพยากรกายภาพ ผมใช้วิชานี้ในการหากิน ในการช่วยชาติบ้าง ทำอะไรให้มันดีขึ้นมาในสองสามปีนี้ แต่พอมาคิดถึงสิ่งที่พระองค์ท่านจัดการตลอดมานั้น ผมรู้สึกตัวเองกลายเป็นเม็ดทรายเม็ดหนึ่งบนหาดทรายกว้างไปในทันที

Water Management หรือ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เป็นสิ่งที่พระองค์ท่านทำมาตอลด การสร้างเขื่อน แก้มลิง ระบบชลประทาน โครงการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน การพัฒนาป่าพรุ กังหันน้ำชัยพัฒนา ฯลฯ

คราวนี้ ท่านทรงแนะ ให้คิดใหม่ทั้งระบบ เนื่องจากสภาวะแวดล้อมเปลี่ยน ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยน ฝนเปลี่ยนที่ตก ปีนี้มีลมแรง ฝนตกปริมาณมาก ต้องเร่งจัดการน้ำ
- ตามรายงานข่าวว่า สนามกอล์ฟ ให้ความร่วมมือในการให้พื้นที่กักเก็บน้ำเมื่อหน้าน้ำ และจะเป็นแหล่งสำรองน้ำสำหรับหน้าแล้ง จะได้มีน้ำใช้ในการเกษตร ที่สนามกอล์ฟให้ความร่วมมือ เพราะเห็นว่าเป็นโครงการพระราชดำริ
- แหล่งน้ำในกรุงเทพฯ จำเป็นต้องปล่อยให้น้ำระบาย เพื่อทำความสะอาดตะกอน และไม่ให้เน่าเสีย
ภาพในจอ เป็นภาพแผนที่ประเทศไทย ที่มีข้อมูลขี้นเป็นตารางอยู่ข้างๆ มากมาย

ผมเคยฟังเรื่องเล่าจากผู้ที่ทำงานในโครงการพระราชดำริว่า แผนที่ยับๆ ในมือท่านนั้น ท่านเป็นผู้ศึกษา และจดเขียนเอง ท่านยังมีวิธีพับที่มีประสิทธิภาพในการตรวจงานที่ต่างๆ

ในเชิงปฏิบัติ นักจัดการที่ดีที่สุด ที่จะทำการจัดการให้องค์กรได้ประโยชน์สูงสุดและทำงานไม่เหน็ดเหนื่อยนั้น ต้องเป็นเจ้าขององค์กรนั้นนั่นเอง

คิดดูดีๆ ว่าพระองค์ทรงมีพระชมน์มายุ 80 พรรษาแล้ว หากเทียบกับคนอายุ 80 ปี ที่ยังต้องทำงาน คงไม่ง่ายเท่าไรนัก

แผ่นดินนี้ จึงเป็นของพระองค์อย่างไม่ต้องสงสัย ในความคิดผม


ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ