Monday, February 06, 2006

อยู่ไม่ได้แล้ว

“กลิ่น เป็นประสาทสัมผัสที่จะเตือนให้คนเราละลึกความทรงจำได้ดีที่สุด”

ข้อพิสูจน์เชิงชีววิทยาและจิตวิทยาได้พิสูจน์แล้วในตัวผม เมื่อสองปีก่อน

สองปีก่อน
...ปีกว่าแล้วสินะ ที่ไม่ได้กลับมาบ้าน... “เรียนหนักไหม?”... “หนาวไหม?” คือคำถามที่ผมได้ยินทางหูโทรศัพท์ทุกครั้งที่โทรกลับบ้าน และอีกครั้งในรถระหว่างทางกลับบ้านกับพี่ชายผม
“คิดถึงบ้านไหมเนี่ย?” ....คำตอบนี้ผมได้คำตอบแล้วในใจแล้ว ตั้งแต่อยู่บนเครื่องบิน “...ไม่เห็นจะคิดถึงเลย... อยู่โน่น สนุกจะตาย...นี่ถ้าไม่ใช่นายแต่งงาน ฉันก็ไม่มาหรอก...” ผมคิดในใจ แต่คิดว่าตอบคำถามยอดฮิตนั้นด้วยรอยยิ้มดีกว่า

เกือบเที่ยงคืน กรุงเทพ ฯ มืดสนิท อากาศร้อนชื้นอบอ้าว ร้อนชื้นหลังฝนตก ที่ผมรู้สึกตั้งแต่ในที่จอดรถสนามบิน บ้านเมืองข้างทางยังเหมือนเดิม ไม่ต่างจากปีกว่า ๆ ที่แล้วที่ผมขับรถร่อนไปทั่ว
ผมมองไปที่ด่านโทลเวย์ เห็นรถต่อแถวสองสามคัน เพราะดึกแล้วเหลือช่องเดียว “รถติดไหม?” ผมถาม แต่คิดในใจในเสี้ยววินาทีนั้นว่า จะถามทำไมนะ และแน่นอน “เหมือนเดิม” พี่ชายผมตอบ

รถเข้าซอยบ้าน ทุกอย่างเหมือนเดิม มีแต่ต้นไม้ใหญ่บ้านปากซอยที่ถูกเล็มไปแยะ รถจอดไฟสลัวที่โรงรถที่เดิม รถโตโยต้าคันจิ๋วคู่ใจผมไม่อยู่ที่เดิมแล้ว เพราะพ่อขายไปหลังจากที่ผมไปเรียนได้ซักเดือน ด้วยเหตุผลว่า ไม่มีใครใช้แล้วนี่

ประตูรถเปิดออก ในใจผมคิดว่า ดีนะที่ไม่ต้องเอาอะไรกลับมาบ้าน กระเป๋าไม่หนักจะได้ยกขึ้นบ้านได้ง่าย ๆ
ทันใดนั้น กลิ่นไอดินกรุ่น ๆ หลังฝน ผมเชื่อว่ามาจากใต้ต้นอโศกที่ปลูกไว้ริมรั้ว ลมพัดแผ่ว ๆ โชยเอากลิ่นโมกที่แม่ผมลงไว้เมื่อหลายปีก่อน เข้าจมูก
...เฮ้ย คิดถึงบ้านหว่ะ...

ทุกวันนี้ ผมเรียนจบ ได้งานดี เงินดี ก้าวหน้าพอสมควร มีชีวิตอยู่ได้อย่างสบาย กินหรูได้บ่อยครั้งต่อเดือน ถ้าเอาเงินเดือนนี้ไปแลกเป็นเงินไทย คงเป็นเศรษฐีหนุ่มทุกปลายเดือนอยู่

“ผม(กู)จะกลับเมืองไทย”
“จะกลับทำไม(วะ)” เพื่อนอินเดียที่เรียนจบมาด้วยกันถามระหว่างกินข้าวเที่ยงในสวนกลางเมือง
ผมไม่อยากจะอธิบายให้ยืดยาว เลยบอกมันไปว่า “ผม(กู)จะกลับไปหาแม่ คิดถึงแม่(หว่ะ)”
มันหัวเราะ แล้วถามว่า “จริงเหรอ(วะไอ้สัด)” ผมตอบมัน ด้วยการยิ้ม และกัดแซนวิชคำโต แล้วเงยมองฟ้า เหมือนที่ชอบทำบ่อย ๆ
“คุณ(มึง)ว่าไหม คนเมืองนี้(แม่ง) ไม่ค่อยมองฟ้ากัน?” ผมเปลี่ยนเรื่อง
ในใจคิดว่า ไม่ใช่เพราะผมคิดถึงแม่ (ก็คิดถึงนะแม่นะ แต่แม่ยังไม่ใช่เหตุผลหลัก)
ไม่ใช่เพราะเบื่อที่จะเป็นพลเมืองชั้นสองที่นี่(อันนี้ก็ไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ในเมืองนี้)
ไม่ใช่เพราะสาวไทย (ป่าวเลย...สาวเกาหลี ญี่ปุ่นที่คบ ๆ อยู่ น่ารักเร้าใจกว่าเป็นกอง)
ไม่ใช่เพราะอาหารไทย

แต่ผมไม่อยากใช้ชีวิตแบบวัน ๆ หาเงินได้ ใช้เงิน ไปจนตายที่นี่ เหมือนที่คนประเทศนี้มันทำ ๆ กัน
ผมว่าชีวิตผมจะมีประโยชน์กว่าที่ประเทศแม่ผม (แม้เงินเดือนที่ผมจะได้ที่เมืองไทย จะเท่ากับที่ผมหาได้ในเวลาวันครึ่งที่นี่ ให้ตายเหอะ)
ผมขอแลกการได้เที่ยวยุโรปทุกปี มีรถหรู ๆ ขับ กับการที่มีคนไทยซักกลุ่มหนึ่งจำชื่อผมได้ว่าผมทำอะไรให้ประเทศเถอะนะ
ผมเชื่อ สังคมไทยคงจะดีขึ้น ไม่มากก็น้อย
แล้วเจอกัน ประเทศไทย

3 comments:

Gelgloog said...

เป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้นะครับ

จริงๆแวะมาอ่านหลายรอบแล้วหละ สบโอกาสเลยขอทักทายเสียหน่อย

ผมเองไม่เคยไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกเมืองนากับเขาหรอกครับ วันๆหนึ่งผมก็ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแคบๆของผม แต่ใครจะว่าอย่างไรก็ตามที ผมมีความสุขกับมันนะ

กับบางคนที่ผมพบเห็นบ่อยๆ อย่างที่คุณ carr?de mim ว่าแหละครับ มองอเมริกาเป็นทุกสิ่ง ชีวิตจะดีขึ้นถ้าได้ไปอยู่ที่นั่น ใช้ชีวิตที่นั่น จะได้ upgrade ตัวเอง เป็นการพิสูจน์ตัวเองว่ามีความสามารถ ฯลฯ เอาง่ายๆก็คือทำยังไงก็ได้ให้กูไปอยู่ที่เรียนที่โน่น หรือทำงานที่โน่น

อยู่เมืองไทยมันไม่ดีหรอวะ???

ค่านิยมแบบนี้เปลี่ยนแปลงยากครับ ตราบใดที่สังคมเรายังคงหลงงมงายกับภาพมายาของการพัฒนากระแสหลักที่มันมาครอบหัวกบาลพวกเราอยู่

หวังว่าคงได้คุยกันอีกเมื่อชาติต้องการ

Anonymous said...

เข้ามา Second Thought ได้ไม่นาน ทยอยอ่านเรื่องต่างๆที่คุณเขียนไว้ได้ซักพักใหญ่ๆ ชอบหลายเรื่องที่เขียนมาก แต่ชอบเรื่องนี้ที่สุด แวะกลับมาอ่านซ้ำหลายรอบแล้ว ลองนั่งคิดดูซักพักว่าเพราะอะไร เรื่องนี้ต่างกับเรื่องอื่นตรงไหน ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนให้ตัวเอง อาจเป็นเพราะเคยมีประสบการณ์ใกล้เคียง หรืออาจเป็นเพราะอะไรบางอย่างในเนื้อความ อืม..เขียนแล้วเริ่มนึกออกว่า บทความนี้ทำให้"สัมผัส"ถึงความคิดของคนเขียนได้ชัด และส่งเลยมาถึงคนอ่านให้"รู้สึก"ได้มากมาย ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นความ "อุ่น" ของบ้าน บ้านทั้งในสเกลครอบครัว และบ้านในสเกลประเทศชาติ
ขอบคุณที่เขียนบทความนี้ ทำให้มีที่ให้กลับมาพักเติมความอุ่นในใจได้เสมอ
คุณชื่นใจ และภูมิใจได้เลย วันนี้วันที่ 20 July 07 บทความที่คุณเขียนเมื่อปีกว่าผ่านมาแล้ว (จากประสบการณ์ที่เก่ากว่านั้นอีก 2 ปี)ตัวหนังสือที่ถ่ายทอดความคิดคุณ ยังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่างสดใหม่ และน่าชื่นชม

เป็นตัวอย่างที่ชัดมากที่่ทำให้เราคิดได้ว่า
สิ่งที่เราทำบางทีมีผลมากกว่าและนานกว่าที่เราคาด อย่างคุณปริญญาเอง ก็อาจจะไม่ได้เห็น comment ที่เขียนนี้เลย เพราะคงไม่คาดว่าจะมีคนเข้ามาอ่านเรื่อง ที่เขียนมาตั้งปีกว่าแล้ว (หรือจริงๆแล้ว ไม่คิดว่าจะมีคนบ้าเข้ามาเขียน Comment ในเรื่องเก่าอย่างนี้มากกว่า :)

LekParinya said...

ขอบคุณคุณ 23
และต้องขอบคุณเทคโนโลยีการแจ้งเตือนเมื่อมี comment ใหม่ๆ
ทำให้ผมได้กำลังใจ และกลับมาทบทวนความรู้สึกตัวเอง อีกครั้ง

ผมกลับมาประเทศไทย ได้เกือบสิบเดือนแล้ว
ที่หายไป ไม่อัพบล๊อค ได้เขียนแสดงเห็นผลปนแก้ตัวไว้แล้วบ้าง

เรื่องในหัวตีกัน งานรุมเร้ารอบตัว งานราษฎร์ งานหลวง งานนอก งานบ้าน งานความรัก

ประเทศไทย ใหญ่ และหนัก เกินกว่าที่ผมจะเปลี่ยนแปลง
เป็นสิ่งที่ผมรู้ และเริ่มตระหนักในสิบเดือนที่ผ่านมา
แต่ไม่ท้อ เป้าหมายยังคงอยู่
แต่ต้องเปลี่ยนกลยุทธ แบบค่อยเป็นค่อยไป
และแยบยล

ถ้าคุณ 23 อ่านบทความนี้ แล้วโดนบ้างไม่มากก็น้อย
ผมเชื่อว่า คุณน่าจะมองโลกในมุมที่ผมมองอยู่

ลองเขียนบันทึกไว้บ้างสิครับ
ให้คนอื่นได้เห็นมุมมองเล็กๆ

ถ้าไม่มีคนอ่าน ก็เก็บไว้เตือนตัวเองได้
เหมือนผม ที่ได้ comment จากคุณมาเตือนให้มาอ่าน
เมื่ออ่าน ก็ดีใจ ที่เรายังคิดแบบเดิม
เป้าหมายไม่เปลี่ยนไป แรงใจยังคงเดิม

ขอบคุณอีกทีครับ