Thursday, April 27, 2006

Sunday, April 16, 2006

คณิตศาสตร์ กับ ชีวิต (๒) - สัมพัทธภาพความแก่

ความแก่ ความหนุ่ม ความสาว
การบอกอายุ อาจยังเห็นไม่ชัด
ต้องมีการเทียบเชิงสัมพัทธภาพ

ตัวอย่าง
ผมมีรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง
เขาเป็นบัณฑิต ตอนผมปีหนึ่ง
อายุห่างกันหกปี

อยากเทียบให้ดูไม่ต่างกันมา
ให้บอกตัวเลข เช่น
พี่หกขวบแล้ว ผมเพิ่งเกิด
หรือ พี่จะ ๓๙ ผมเพิ่ง ๓๓

หากอยากเทียบให้ห่าง
ให้เทียบสถานภาพ เช่น
"ตอนพี่อยู่ปีหนึ่ง
ผมเพิ่งสอบเข้ามัธยมเอง"


ผมสรุปเป็นหลักง่าย ๆ
ของการอยากเทียบใครให้แก่
ให้ตั้งคนแก่กว่า อยู่ในช่วงมหาวิทยาลัย
แล้วเทียบดู

อีกตัวอย่าง
เด็กที่สอบ entrance ปีนี้
เขาเกิดปีช่วงปี 2531-2532 นะ
หรือ
"เขาขึ้นป.สอง ตอนผมเรียนปีหนึ่ง"

ตัวอย่างที่ผมยังตกใจเองคือ


น้องสองคนนี้ เพื่อนๆ ผมที่เมืองไทย
ชื่นชมกันมาก
บอกน่ารัก น่าหยิก
ผมก็เลยหาข้อมูลดู ปรากฏว่า น้องเขาอายุสิบสาม
เทียบออกมาคือ

"น้องเขาสองขวบกว่า ๆ
ตอนรุ่นพวกผมอยู่ปีหนึ่ง!!"


ผมก็เลยบอกพวกเพื่อนๆ ในข้อเปรียบเทียบนี้
มันก็อึ้งไป พร้อมบ่น"แก่จริงหว่ะ พวกเรา"

บางคนบอกว่า เทียบแบบนั้นไม่ดี
ต้องแบบนี้สิฟะ
"...น้องเขาจบมหาลัย
พวกเราก็มีธุรกิจของตัวเอง
เปิดบริษัท ตั้งตัวได้พอดี..."


เออ เทียบแบบนี้เข้าท่า

Tuesday, April 11, 2006

หรือ ภาษาไทยผมอ่อนแอ?

"คุณอากลับแล้วเหรอคะ?"
"...อะไรครับ..."

ผมงงกับคำถามจากพี่คนหนึ่งในร้านอาหารไทยที่ผมชอบไปเวลาเที่ยง

"อ้าวไหนว่า คุณอา มาไงคะ"
"...อะไรนะครับ..."

ผมเริ่มคิดอย่างจริงจัง
ว่าเร็ว ๆ นี้ คุณอาผมมาแถวนี้หรือเปล่า
"เอ่อ ผิดคนมังครับพี่"

"เห็นเดือนก่อน บอกคุณอาอยู่ยูเอ็น"
ผมคิดอีกที
"เอ่อ ไม่มีนะครับ ผิดคนมังครับพี่"

"อ้าว เหรอคะ" พี่เขารินน้ำแล้วก็จากไป

ทานข้าวเสร็จ ผมก็เดินกลับไปทำงาน
ระหว่างทางก็คิดว่า
เอ เราพูดอะไรไปนะ?

พลันนั้นผมก็ดีดนิ้วดังเปาะ

เดือนก่อนพี่เขาถามว่า
"อยู่แถวนี้เหรอคะ"
ผมก็ตอบไปว่า
"...ทำงานอยู่เอ็นวายยูเหม็ดหน่ะครับ..."(NYU Med)
พี่เขาคงฟังออกมาเป็น
"...อาอยู่ยูเอ็นหน่ะครับ..."

หรือ ภาษาไทยผมอ่อนแอลง จริง ๆ

เช้าฟาดฝัดพัก เย็นฟากฝักฝัด
ระยอง ระนอง ละยา

Saturday, April 08, 2006

สามเหลี่ยมแห่งความสำเร็จ

บทความนี้
ผมได้จาก เวปสถาปนิกสยาม

บทความนี้
เขียนโดย พี่ที่เคารพคนหนึ่ง
ที่ได้เคยคุยกับผู้ยิ่งใหญ่แห่งชินครอป
เมื่อสองปีก่อน
ในหัวข้อ "หนังสือการบริหาร"
ความตอนหนึ่ง น่าสนใจ
เอามาเล่าให้ฟังดังนี้ครับ

--------------------
"สามเหลี่ยมแห่งความสำเร็จ"

การเริ่มทำการใด
ต้องเริ่มที่ "Best Product" ก่อน
เพราะจะเป็นตัวสำคัญที่สุดในการ start ถือเป็น
ยอดจั่วของสามเหลี่ยม

หลังจากที่ได้ Best Product แล้ว
ก็จะก้าวเข้าไปสู่มุมที่สองของสามเหลี่ยมที่เรียกว่า
"Customer Satisfaction"
คือการนำสินค้านั้นให้เป็นที่พึงพอใจของลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ
และจะเกิดอาการเสพติด และขาดไม่ได้

ขั้นตอนสุดท้ายก็คือมุมของสามเหลี่ยมมุมที่ ๓ ก็คือ
"Log In" หมายถึงการกินรวบ
เป็นเจ้าตลาดแต่ผู้เดียว ไร้คู่แข่ง
เป็นการผูกขาดสังคม ผูกขาดการตลาด
หลังจากนั้นอยากจะทำอะไรก็ทำได้
สบายมาก

...ผมนั่งฟังอยู่ด้วยความชื่นชมในความสามารถและวิสัยทัศน์
แต่ด้วยความที่เป็นคนขี้สงสัย
ก็เลยถามพี่เขาไปว่า
"แล้วต่อจาก Log In นั้นจะเป็นอย่างไรครับ"

พี่เขาก็ตอบออกมาว่า
"มันจะมีอยู่ด้วยกัน ๓ ทางก็คือ..."
๑.กลับเข้าสู่วงจร Best Product อีกครั้ง
หาสินค้าใหม่ ทำให้คนพอใจ แล้วก็ LogIn อีกครั้ง
๒.เกิดการแตกแยกภายใน ทำให้องค์กรแตกแยก
และล่มสลายไปในที่สุด
๓.คู่แข่งหรือสังคมรับไม่ได้ จะเกิดการทำลายจากภายนอก
จะเกิดการปฎิวัติ

ณ วันนี้ พรรคไทยรักไทย
ได้พิสูจน์แล้วว่าเขาได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า
Best Product ของสังคมการเมืองไทย
เป็นการคิดใหม่ทำใหม่ เสนอการเมืองแบบไม่น้ำเน่า
แล้วก็เข้าสู่นโยบายประชานิยมจนกลายเป็น
Customer Satisfaction
และหลังจากนันก็เข้าสู่สามเหลี่ยมมุมที่ ๓
ก็คือ Log In ไปเรียบร้อยแล้ว
เป็นผู้ครองอำนาจแต่ผู้เดียว
เลือกตั้งเมื่อไรก็ชนะ จะทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง.....
และได้ทำการหมุนกลับไปสู่ Best
Product->Customer Satisfaction->Log In
แล้วหลายรอบ

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับประชาคมชาติไทยตอนนี้
กำลังถึงจุดของการเปลี่ยนแปลง
จาก Log In ไป ณ ที่ใดที่หนึ่ง

ใน ๓ ข้อที่พี่ท่านบอกมาคือ
๑. กลับสู่วงจรเดิมเพื่อครองอำนาจ Log In
๒. พรรคแตกแยก พรรคล่มสลาย
๓. ถูกปฎิวัติมวลชน

--------------------

สามทางออกนี้ ออกทางใด
ถูกใจใครหรือไม่ผมไม่ค่อยสนแล้วหล่ะ

สนแต่ว่า

เมื่อออกได้แล้ว
ประเทศไทยจะเหลืออยู่ไหมนะ

Tuesday, April 04, 2006

คณิตศาสตร์ กับ ชีวิต (๑) - สมการความเครียด

ผมเป็นคนชอบคณิตศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก
เป็นวิชาเดียวที่พอจะเชิดคอได้
ท่ามกลางเกรดวิชาอื่นที่เป็นเลขฐานสอง

สมัยมัธยมต้น
เคยสนุกกับการแก้สมการ หรือเรขาคณิต
อาจารย์ท่านหนึ่งเห็นแล้วก็นึกสนุกด้วย
ถึงขั้นเอาโจทย์ระดับมหาวิทยาลัยมาให้เล่นกัน

ทำเอากลับบ้านดึกไปหลายวัน

หลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ผมก็ไม่ได้ใช้ความสนุกสนานเหล่านั้นสักเท่าไหร่
กลับมาสนุกสนานกับการแก้ปัญหา
หาเหตุผลในงานออกแบบ

กว่าจะพบว่ามันสนุกเหมือนวันเก่า ๆ
ก็เกือบจะสาย

ผมเริ่มหยิบหนังสืออ่านเล่นหลาย ๆ แนวมาอ่าน
เริ่มเห็นการนำคณิตศาสตร์
มาอธิบายอะไร ๆ หลาย ๆ อย่าง
ให้เข้าใจง่าย และเห็นภาพชัดเจนขึ้น
ว่าจะเอามาเล่าเป็นตอน ๆ

อันแรกที่หยิบมาเล่าอีกทีนี้
ผมได้มาจาก หนังสือของ คุณประภาส ชลศรานนท์
ในหนังสือรวมเล่มอันหนึ่งของพี่เขา
(เอ เล่มไหน ก็จำไม่ได้แล้วสิ)

พี่จิก(ขอวิสาสะ เรียกว่าพี่จิก แล้วกันนะครับ)
เขียนในหนังสือว่า ได้สมการนี้มาจากคุณหมอคนหนึ่ง
ดูนี่สิครับ


ผมเห็นสมการนี้แล้ว อี้ง ไปสามนาที
นั่งยิ้มนาน ๆ เหมือนได้พบอะไรบางอย่าง

สมมติ แบบแทนค่าสมการนะครับ
กำหนดให้ มี ความสามารถ = 10

อยากจะเครียดมากสัก = 100
ก็ให้มีความอยากไป = 1000 Ans.

อยากจะเครียดกลาง ๆ แค่ = 1
ก็ให้มีความอยาก = 10 Ans.

หากต้องการเครียดน้อย ๆ
ก็ให้มีความอยากน้อย ๆ เช่น
ลองแทนค่าความอยาก = 1
จะเครียดแค่ = 0.1 Ans.

โตขึ้นมาอีกหน่อย
ได้รู้เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง
ช่างมาเสริมกับสมการนี้ได้พอดีกันเลยครับ
เป็นการขยายคำว่า สัญโดษ
"มีน้อยใช้น้อย ใช้ให้คุ้ม ใช้เท่าที่จำเป็น"

ความอยาก แตกความหมายออกมาเป็น
"อยากมี อยากได้ อยากเป็น"
ให้ลดซะ

ประสานแนวคิดตะวันตก
อธิบายให้เข้าสมการคือ
ให้มีการ "พัฒนาความสามารถ" ควบคู่กันไป

คงดีนะครับ
หากแทนค่าสมการด้วย
ความอยาก = 0.01 และจะน้อยลง
ความสามารถ = 1000 และจะมากขึ้น
ความเครียด คงเข้าใกล้ศูนย์เข้าไปทุกที

คงเป็นชีวิตที่มีความสุขนะครับ Ans.

Sunday, April 02, 2006

New Yorkers said "Get Out"

และแล้ว คนไทยในนิวยอร์ค ก็รวมตัวกันซะที
ได้ยินว่า เพิ่งตกลงกันได้เมื่อวันพุธ ประชาสัมพันธ์อ่อนไปนิด

หน้าสถานกงสุล วันเสาร์ ตอนเที่ยง
กลุ่มคนเสื้อเหลืองก็มารวมตัวกัน
(ถ้าชุมนุมกันเงียบ ๆ ตัวเหลือง ๆ จะดูเป็นพวก "ฝ่าหลุนกง"ไป)

เริ่มด้วยการปราศัย ให้ข้อมูล
แทรกให้ข้อสรุป ด้วยการตะโกน "Taksin Getout" เป็นพัก ๆ


พวกที่มา ส่วนใหญ่เป็นป้า ๆ น้า ๆ
แต่ละคนมีประเด็นติดใจในระบอบทักษิณคนละอัน สองอัน
เช่น เรื่องทำไมให้สิงค์โปรมามีกองทหารในไทย
หยุด เอฟทีเอ
หมิ่นสถาบัน ศาสนา พระมหากษัตริย์
จริยธรรม ฉ้อราษฏ์บังหลวง
ฯลฯ
ได้คุยกับ พวกพี่ ๆ (ต้องเรียกพี่ ๆ นะ เรียกป้ากลัวพาลไม่คุยด้วย)
ได้ความว่า พี่ ๆ อยู่ที่นี้มานานหลายสิบปี
ทำร้านอาหาร ขายของชำ เป็นส่วนใหญ่
มีคุณหมอ นักธุรกิจบ้าง

แต่ที่สำคัญคือ "เขาติดตามข่าวสารบ้านเมือง"
ยิ่งกว่านั้นคือ "เขาหวงแหนประเทศชาติ"


ได้คุยกับคุณพี่ท่านนี้ บอกว่า
เขาไล่กันตั้งนานแล้ว
มันทำไมฟังพวกเราไม่รู้เรื่องนะ


หลังจากมอบหนังสือการคัดค้านระบอบทักษิณกับตัวแทนสถานกงสุลแล้ว
ต่อจากนั้นก็
การแจกเนื้อเพลง และการร่วมกันร้องเพลง “คนหน้าเหลี่ยม” ด้วยกัน


“...ลิ่วล้อ สิงกะโปโตก...”


ทั้งร้องทั้งเต้น เป็นที่หรรษา


จบด้วย เพลงสดุดีมหาราชาฯ และ เพลงสรรเสริญฯ


ระหว่างชุมนุม มีป้าชาวอเมริกันเดินผ่านมาหยุดดู
บอกว่าให้ชุมนุมเอา ไอ้บุช ออกไปด้วย
ก็ได้แค่บอกว่า
"Taksin is son of the Bush"

ถ้ามีโกงเลือกตั้ง และเหลี่ยมยังด้านไม่ออก
นัดหน้า เจอกันที่ UN !