Saturday, December 27, 2008

มุมมองที่เปลี่ยนไป

มุมมองที่ผมมีต่อโลก เปลี่ยนไป

สมัยเด็ก ผมมองโลกแบบ You are ok, I’m not ok.
ผมขี้อิจฉา ผมโลภ ผมหลง

มหาวิทยาลัย นอกจากให้กระดาษผมหนึ่งใบแล้ว
ยังได้ให้ผมรู้จักกับมุมมองใหม่
ผมมองโลกเปลี่ยนไป เป็น You are ok, I’m ok.

ผมใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ มีความสุข ทุกอย่างเป็นสิ่งสวยงาม น่าค้นหา ท้าทาย

ผมใช้ชีวิตมาสักพัก
ผมกลับเกิดคำถามในความไม่เข้าใจสิ่งรอบตัว
เมื่อผมทำความเข้าใจมันมากขึ้น
ผมพบว่า ปัญหาที่ท้าทายเหล่านั้น "มันไม่มีทางแก้"

มุมมองของผม เปลี่ยนไปสู่ You are not ok. I am ok.
ผมเริ่มเปลี่ยนการมองสังคมจาก “เข้าใจ” เป็น “ทำใจ”

ผมไม่แน่ใจ ว่าผมจะมีความสุข หรือ ทำใจให้สุขกับสังคมนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่

บทความนี้ ไม่มีทางออก
แคบ่นเฉยๆ

Tuesday, December 09, 2008

จันทร์เอ๋ย จันทร์ยิ้ม



จันทร์เอ๋ย จันทร์ยิ้ม
ยิ้มสุขพริ้ม ยิ้มฉงน หรือยิ้มหยัน
จันทร์เห็นเรา เราเห็นจันทร์ ต่างคิดกัน
ปากแย้มนั้น เหมือนว่ายิ้ม หมายต่างเอย


ปรากฏการณ์ จันทร์ยิ้ม
ต้องเรียกว่า ปรากฏการณ์จริงๆ นะครับ
ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นแบบพร้อมๆ กันได้ขนาดนี้
กล่าวคือ
ดาวศุกร์ (ตาด้านซ้าย) ลุกโชนสว่าง เพราะอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์มาก
ดาวพฤหัส (ตาด้านขวา) สว่างนิ่งๆ นวลๆ แม้จะห่างจากตาซ้ายหลายล้านกิโลเมตร
ดวงจันทร์ (ปากยิ้ม) อยู่ในตำแหน่งรับแสงเสี้ยว เหมือนปากยิ้ม
โลก อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ทำให้เราสามารถเห็นดาวเคราะห์ทั้งสามดวงได้ ในตำแหน่งที่มีความหมาย

ตั้งแต่เริ่มวัฒนธรรมมนุษย์มา เราเริ่มตีความสิ่งที่เห็นบนท้องฟ้าไปต่างๆ นานา
สมัยสามก๊ก ขงเบ้ง สุมาอี้ สามารถคาดเดาการตาย การเปลี่ยนเจ้าเมือง จากดาวหรี่ดับ
สมัยยุคกลาง การระเบิดของซูเปอร์โนวา ก็กลายเป็นเหตุการร้ายได้มากมาย
สมัยอยุธยา พงศาวดารกล่าวอ้างว่าดาวหางคือสัญญาณแผ่นดินเปลี่ยน

ตำแหน่งของดาวสี่ดวงจะมาเรียงตัวคล้ายๆ กันอีกครั้งในเช้ามืดวันที่ 23 เมษายน 2552
การตีความกับความหมายของการยิ้ม คงต่างกันไปตามบริบทสังคมตอนนั้น

ทางการแพทย์พิสูจน์แล้วว่า การที่เราอยู่ใกล้คนยิ้มเก่ง ยิ้มบ่อย เราจะยิ้มและมีความสุขไปด้วย เหมือนเป็นโรคติดต่อ
การคาบปากกา ให้ปากอยู่ในตำแหน่งเหมือนยิ้ม เมื่อดูหนังตลกจะตลกขึ้น
และหนังตลกถ้ามีเสียงหัวเราะนำให้ถูกจังหวะ ความตลกก็จะเพิ่มขึ้น
การแกล้งยิ้มหัวเราะทุกเช้า วันนั้นจะเริ่มด้วยความสุข
เมื่อเกิดปัญหารุมเร้า หาทางออกไม่ได้ ทางเดียวที่ทำได้คือ “ยิ้มสู้”

ในคืนจันทร์ยิ้มนั้น มุมเล็กๆ แถวถนนพัฒนาการ
คุณน้าผม กำลังอยู่ในช่วงเวลาการบำบัดคีโม หลังตรวจพบมะเร็ง
ท่านเดินกับแม่ผม ใต้แสงจันทร์ยิ้มนวล
ท่านบอกว่า ไม่เคยเห็นจันทร์ยิ้มแบบนี้เลย ตลอดห้าสิบกว่าปีที่ผ่านชีวิตมา
ท่านบอก คงต้องยิ้มสู้กันต่อไป

เมื่อการยิ้มเป็นสิ่งดี ถ้าจันทร์ยิ้มอยูบนฟ้าทุกคืนก็คงดีไม่น้อย
แต่จันทร์มองเราแล้ว คงยิ้มไม่ออก หรือคงยิ้มในความเหนื่อยหน่ายของมนุษยชาติ

แต่ในเมื่อจันทร์มองเราแล้วไม่ยิ้ม
ทำไมเราไม่มองจันทร์แล้วยิ้มดูหล่ะครับ


ลองยิ้มให้กับท้องฟ้าที่ยังสดใสปลอดโปร่งเพียงพอให้เรามองจันทร์ได้
ลองยิ้มให้กับเวลา และกล้ามเนื้อ ที่เรายังมีเพียงพอ ให้มีเวลา และกำลังเพียงพอในการเงยหน้ามองจันทร์ ทั้งที่หลายคนบนโลกกลับไม่มีเวลา หรือไม่มีกำลังเพียงพอเหมือนเรา
ลองยิ้มให้กับโอกาสของชีวิตนี้ ที่ได้เกิดมามองจันทร์ ที่ยังมีอะไรดีๆ ให้ทำอีกตั้งเยอะ


ว่าไหมหล่ะครับ?

Tuesday, December 02, 2008

ประเทศไทย ท่าจะแย่

วันนี้ครบหนึ่งอาทิตย์ที่ สนามบินสุวรรณภูมิปิดตัวลง

ผมเพิ่งส่งนักท่องเที่ยวตกค้างกลุ่มหนึ่ง ขึ้นเครื่องที่ อู่ตะเภา

ผมได้มีโอกาสเดินทางไปที่ต่างๆ ในช่วงนี้ พบคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว
สืบความจากเหตุการณ์ได้ดังนี้

พี่ที่รู้จัก เจ้าของโรงแรม พัทยา-ภูเก็ต
“ช่วงนี้ทำไงหล่ะพี่?” ผมถาม
“ส่วนช่วงนี้ก็ให้แขกพวกที่ไม่มีตังค์แล้วยังตกเครื่อง อยู่ฟรีไปเลย
ภาพพจน์ประเทศ มันก็ต้องช่วยๆ กันหว่ะ
แต่เดือนหน้าท่าจะแย่ แขกยกเลิกการจองไปแล้วเยอะเลย
ก็คงต้องประหยัดกันให้มากที่สุด ประคองๆ กันไป
เดือนต่อๆ ไป ก็ลุ้น สู้กันใหม่”


ป้าคนขายตั๋วเข้าวัดอรุณ
“กระทบอะไรไหมป้า?” ผมยืนคุยด้วย
"เชื่อไหม สามวันมานี้ นักท่องเที่ยวเหลือ 5 เปอร์เซนต์ ถ้ายังแบบนี้ จบกัน" คุณป้าตอบ

หมอนวดแผนไทย วัดโพธิ์
“มีผลอะไรไหมครับช่วงนี้?” ผมยิงคำถามขณะกำลังใช้บริการนวดเท้า
“นี่ก็ได้น้องเป็นลูกค้าคนแรก วันนี้นี่แหล่ะ ปกติบ่ายๆ แบบนี้ มีไม่น้อยกว่า สามสี่คนแล้ว เป็นแบบนี้ต่อไปท่าจะแย่”

หลายโรงแรมที่ภูเก็ตและหัวหิน ลงทุนเร่งงาน เพื่อเปิดให้ทัน ฤดูท่องเที่ยวนี้
กำลังจะพบความยากลำบากเข้าขั้นหายนะ
ส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ พังทลายทั้งระบบ
ตั้งแต่โรงนวด สปา อาหารหรู ส้มตำริมหาด ที่จัดสัมมนา บริษัทออกแบบ ผู้รับเหมาก่อสร้าง รถเช่า เรือเช่า จองตั๋วเครื่องบิน ขายของที่ระลึก ยันโชว์อาคัลซ่า ฯลฯ
ท่าจะแย่

ความเห็นผม
นายเสรีรัตน์ ผอ.การท่าฯ คือ ตัวการทำลายประเทศไทย จำเลยที่หนึ่ง
ผมไม่เข้าใจว่า การท่าอากาศยานฯ จะปิดสนามบินทำไม?

ผู้ประท้วง ปิดถนนทางเข้าชั้นสี่ของสนามบินเท่านั้น
ซึ่งตอนแรกยังไม่เข้าไปในอาคารผู้โดยสารเลยด้วยซ้ำ
Air-Side ที่เป็นรันเวย์ และทางเชื่อมเครื่องบิน ยังทำงานได้ปกติ
Cargo ที่แยกถนนทางเข้า และใช้รันเวย์ ก็ไม่กระทบ
แต่การท่าอากาศยานฯ กลับเลือกที่จะปิดตายสนามบินทั้งหมด


ผมไม่เข้าใจหนักเข้าไปอีกว่า
การท่าจะปิดสนามบินนานาชาติที่เชียงใหม่ และภูเก็ตด้วยทำไม?


ทำให้ผมวิเคราะห์ออกมาเป็นเหตุผลเดียวว่า
“นี่คือการเอาความเดือดร้อนของประเทศไทย เป็นเครื่องมือทางการเมืองชัดๆ”
ด้วยการดันความผิด และลดความชอบธรรมให้การประท้วงของพันธมิตรฯ

จำเลยที่สองในการทำลายประเทศไทยคราวนี้คือ รัฐบาลไทย โดยกระทรวงคมนาคม
ที่กระบวนการรองรับความเดือดร้อน เข้าขั้น “โหลยโท่ย” หรือ ทำงานไม่เป็น และมั่วอย่างร้ายแรง


เมื่อวันศุกร์ หลังจากผ่านการปิดสนามบินมาสามวัน
รัฐฯ ประกาศว่า สี่โรงแรม สามารถรองรับนักท่องเที่ยวตกค้างได้
ผมรอจนวันเสาร์ และเห็นประกาศตามเวบไซต์สถานทูตต่างประเทศ คาดว่าคงใช้งานได้แล้ว
สามในสี่โรงแรมที่ผมโทรไป บอกทำนองเดียวกันว่า “รัฐบาลมั่ว ไม่ได้ส่งอะไรเจ้าหน้าที่อะไรมาเลย นี่รับสายจนจะไม่ไหวแล้ว”
สุดท้ายที่โรงแรมเซนทารา หลังจากโทรทั้งวันเสาร์ ผมโทรติดตอนสามทุ่มครึ่ง บอกว่า “ที่นี่รับแต่สายการบินไทย สายการบินอื่น ไม่รู้ ไม่มีข้อมูล”


ส่วนเบอร์โทรศัพท์ต่างๆ ที่ทางรัฐบาลให้ ไม่ว่าจะเป็นสนามบินอู่ตะเภา สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว

สายเหมือนจะยุ่งจนติดต่อใครไม่ได้ เช่นเดียวกับสายการบินต่างประเทศอื่นๆ


และแย่ที่สุดคือ ทั้งที่นักท่องเที่ยวติดค้างสามวัน และจะเข้าสู่วันที่สี่ และห้า และหก
กลับไม่มีหน่วยงานรัฐฯ อันไหนที่เหมือนจะมีหน้าที่รับผิดชอบ เปิดทำงานหลังห้าโมงเย็น และทำงานวันเสาร์อาทิตย์


รัฐฯ บอกจะให้สองพันบาทต่อวัน สำหรับกับนักท่องเที่ยวที่ติดค้าง กลับกลายเป็นคำพูดเอาหน้า
เมื่อถามหารายละเอียดกลับไม่ได้เรื่องสักที่ ถามไป บอกไม่มีใครรู้ โยนไป โยนมา

นักท่องเที่ยวที่ผมดูแล บอกตรงกันว่า “ไม่มีใครอยากมาประเทศนี้แล้ว” ส่งผลให้คนที่บ้านเขาบอกเช่นเดียวกัน
เหตุการณ์นี้ ผมย้ำความเชื่อที่สิ้นหวัง และประสบการณ์ในหัวที่ว่า
· การที่นักการเมือง จะแก้ปัญหาเพื่อประชาชนนั้น หากไม่มีผลประโยชน์ มันจะไม่ทำงาน
· รัฐมนตรีถูกแต่งตั้งด้วยระบบโควต้า ไม่มีความรู้ และไม่มีความสามารถพอในงานที่รับผิดชอบ
· ข้าราชการไทยปัจจุบัน นอกจากฟังคำสั่งนักการเมืองแล้ว ก็ทำอะไรไม่เป็นนอกจากงานในหน้าที่ และไม่เคยจะทำอะไรเพื่อประชาชน
· คำว่า “ธุระไม่ใช่” คือคำพูดของคนประเทศนี้ ที่ไม่เคยคิดจะแก้ปัญหาเพื่อส่วนรวมใดๆ ทั้งสิ้น
· หรือสิ่งดีๆ เพื่อประชาชนในประเทศนี้ มันจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีการปฏิวัติ


สำหรับเหตุการนี้ หากลองคิดแก้ปัญหาดู อาจทำได้ดังนี้
ความเร่งด่วนแรก ภายในสี่ชั่วโมงแรก คือ
ข่าวสาร พร้อมรับเรื่องความเดือดร้อนแบบอ้างอิง และติดตามได้
เวบไซต์ สาย Hotline และเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ต้องจัดตั้งภายในสี่ชั่วโมงแรกของความเดือดร้อน
เพื่อระงับความสับสน และลดความเดือดร้อน พร้อมมอบหมายเลขอ้างอิง สำหรับข้อมูลที่นักท่องเที่ยวจะได้ไม่ต้องเล่าเรื่องใหม่ทุกครั้งที่ติดต่อเข้ามา

เร่งด่วนที่สองคือ ภายในแปดชั่วโมง คือ
การประสานงานเตรียมความพร้อมของสนามบินใกล้เคียง และประสานงานให้กับสายการบินต่างประเทศ ทั้งขาเข้าขาออก

เร่งด่วนที่สาม ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง คือ
การอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น การเตรียมล่าม การเตรียมรถขนส่ง อาหาร ส้วม โรงแรม เครื่องใช้สำนักงาน ประสานงานกับเจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่น อำนวยจราจร สถานพยาบาล ฯลฯ

เร่งด่วนที่สี่ คือ
การเยียวยาความเสียหาย เช่น การชดใช้ค่าโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดือดร้อน อาจเป็นการให้กรอกข้อมูลทิ้งไว้ แล้วจัดการภายหลังตามไป อาจมีการมอบที่พัก หรือ แพ๊คเก็จทัวร์ให้ตามไปเพื่อกู้สถานการณ์ ฯลฯ

นี่คือสิ่งที่ผมคิดได้ภายในหนึ่งชั่วโมง
ซึ่งหากรัฐบาลทำงานเป็น และจริงใจแก้ปัญหา
คงคิดได้มากกว่านี้อีกหลายเท่า

และความเดือดร้อนจะไม่รุนแรงขนาดนี้


“สุดท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนไตร และสิ่งศักดิ์สิทธิในสากลโลก
ช่วยทำให้พวกเหี้ยห่า จัญไร ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เอาประเทศเราไปหาผลประโยชน์
ไม่เคยคิดถึงประเทศชาติ และประชาชน
จงไม่มีอำนาจ และจงถูกควบคุม ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายได้อีกต่อไป”