Saturday, April 07, 2007

เราต้องเลิกหาทางลัด คือหนทางพัฒนาชาติไทย

ทางลัดในที่นี้ มีตั้งแต่
เดินลัดสนาม ข้ามถนนใต้สะพานลอย
แทรงคิวซื้อตั๋วหนัง หรือเข้าห้องน้ำตามห้าง
จนถึง ทางลัดสู่ความรวย และความสำเร็จ

คำว่า “เลิกหาทางลัด” มาจากหลายเหตุการณ์
มันมาจาก
รู้จักรอ
รู้จักเข้าคิว
รู้จักที่จะอยู่ในระเบียบ
รู้จักที่จะเคารพสิทธิคนอื่น
รู้จักพอในสิทธิและความสามารถของตัวเอง

ใครขับรถต่างจังหวัดบ่อยๆ หากมีการซ่อมทางที่ปิดไปช่องทางวิ่งหนึ่ง
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ จะมีรถประมาณ สิบเปอร์เซนต์ ลงไปวิ่งที่ไหล่ทาง
แล้วไปแทรกเอาข้างหน้า
นั่นคือต้นเหตุที่จะทำให้รถติดขึ้น
และจะทำให้รถลงไปวิ่งบนไหล่ทางมากขึ้น จนกลายเป็นอีกช่องทางหนึ่ง

หากใครเคยขับรถในต่างประเทศ
ถ้ามีถนนปิดซ่อม หรือมีเหตุต้องรวบช่องทางวิ่ง
มันเป็นที่รู้กันว่า เขาจะสลับกันไป
คือ ซ้ายไปหนึ่งคัน ขวาไปหนึ่งคัน
หากถึงคิวทางขวา แต่รถคันทางขวาชักช้ายืดยาด
รถทางซ้าย ก็จะรอ หากรอไม่ไหว เขาก็บีบแตรด่า เร่งให้ไปเร็วๆ

นี่ไม่ใช่มารยาท
แต่มันคือบรรทัดฐาน
บรรทัดฐานแห่งการเคารพสิทธิคนอื่น
บรรทัดฐานแห่งการไม่ลัด

แม้เรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น การเข้าคิวในห้องน้ำ
หากห้องน้ำมีหลายห้องให้เลือก
เขาจะยืนเป็นแถวเดียว
และห้องไหนว่างก่อน คนที่ยืนอยู่หัวแถว จะเป็นคนได้เข้าในห้องที่ว่างก่อน
ไม่ใช่ไปยืนเข้าคิว ที่หน้าห้องแต่ละห้อง แบบที่คนไทยทำกันบ่อยๆ
ใครซวยไปเจอห้องน้ำที่ปิดเสียไว้ ก็โชคร้าย ยืนรอไปเถอะ


เคยมีคำกล่าวว่า
ข้าราชการใหญ่ๆ โตๆ ใช้แค่สองอวัยวะ
คือ "ลิ้น" กะ "ตีน"
ลิ้นเลีย กะ ตีน ใช้วิ่ง
ไม่ได้ใช้ “หัว” คิด หรือ “มือ” สร้างผลงาน

"เลีย" และ"วิ่ง" คือ การหาทางลัดที่ชัดเจนแบบหนึ่ง
ลัดสู่ความใหญ่โต และลัดสู่ความบาดหมาง
ขึ้นไปนั่งอยู่บนหัวคนอื่น ด้วยความไม่ชอบธรรม
มีเสียงสาปแช่ง และคำก่นด่า
แม้ว่าเสียงเหล่านั้นจะมีแทรกๆว่า
“เส้นกูไม่ใหญ่บ้าง ก็แล้วไป”

หนังสือที่ขายดีมากเมื่อเร็วๆ นี้คือ
หนังสือจำพวก เส้นทางรวยลัด รวยเร็ว อยากรวยต้องรู้

การที่อยากเป็นเศรษฐีแบบ เร็ว และทางลัด
ทางปฏิบัติส่วนหนึ่ง คือ การเล่นหวย เล่นหุ้น
หวังลมๆ แล้งๆ ในความหวังเชิงสถิติที่แทบเป็นไปไม่ได้
ไม่ได้มี Productivity ให้ชาติมันพัฒนาขึ้น

ทางลัดสู่ความสนุกในการดูฟุตบอล
คือการนำเข้าการถ่ายทอดสด ฟุตบอลต่างประเทศ
ลัดข้ามกระบวนการพัฒนาฟุตบอลในประเทศไทย
อาจเป็นสาเหตุหลัก ที่บอลไทย จะไม่ได้ไปบอลโลกตลอดกาล
เพราะ เราหาแต่ทางลัด

อุตสาหกรรมหลายอย่าง เราอยากจะมี อยากจะเป็น แบบลัดๆ
เราจึงนำเข้าเทคโนโลยีอย่างเดียว
เป็น Technology Transplant
เหมือนนำต้นไม้ที่โตแล้ว มาปลูกในบ้านเรา
วันหนึ่ง เมื่อสายการพัฒนาทั้ง คน และเครื่องของเราขาดไป
จากนั้น เราก็ต้องนำเข้า (ทั้งคน ทั้งเครื่อง) ตลอดไป
เหมือนต้นไม้ใหญ่ บังแสง และแย่งอาหารต้นกล้าน้อยๆ ที่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่เกิดในบ้านเราเอง
ต้นกล้าน้อยๆ เหล่านั้น ก็เหี่ยว และตายไป

เศรษฐกิจพอเพียง หรือแนวคิดแบบพอเพียง
คือการบอกให้เรา เลิกหาทางลัดได้แล้ว

มาดูตัวเองซะ
มีความสามารถแค่ไหน จงรู้ตัวเองว่าเราอยู่ตรงไหน
จงรู้สิทธิเรา หน้าที่เรา เคารพสิทธิคนอื่น
ค่อยๆ เดินบนพื้นฐานที่มั่นคง
ค่อยๆ พัฒนา บนพื้นฐานความรู้ของเรา
สร้างองค์ความรู้ที่จำเป็นใช้ในการพัฒนาได้

แนวคิดนี้ ไม่ได้บอกให้ ห้ามนำเข้า
แต่สอนให้ นำเข้าได้ แต่ต้องเรียนรู้ด้วย
การนำเข้าความรู้ หรือ คน ต้องไม่ใช่ “ทางออก”
แต่มองให้มันเป็น “กระบวนการ” เรียนรู้
เรียนรู้ที่จะอยู่ได้ด้วยการไม่นำเข้า ให้ "เร็วที่สุด"

"เร็วที่สุด" แบบไม่ลัดด้วยนะครับ อย่าลืม

6 comments:

Anonymous said...

คนเราถ้ามีทางตรงๆ กว้างๆ สวยงามให้เดิน คงไม่มีใครคิดอยากเดินทางลัดหรอก เพราะเดินทางปกติก็สบายดีอยู่แล้ว

การที่คนเราเลือกเดินทางลัด ก็แสดงว่ามันไม่มีทางตรงดีๆ ให้เดิน มันต้องแย่งกันเดิน เบียดกันเดิน หรือเดินแล้วมันลำบาก

ถ้าข้าราชการเงินเดือนเยอะพอ จะเดินทางลัดด้วยการรับเงินใต้โต๊ะไหม?

ถ้าพนักงานบริษัทมีความมั่นคงในชีวิตการงาน มีค่าตอบแทนที่อยู่ได้ไม่ลำบาก จะเดินทางลัดด้วยการเล่นหวยรวยหุ้นไหม?

ถ้าคนรอซื้อของมั่นใจว่าเขารอแล้วจะได้ของตามที่เขารอ เขาจะยื้อแย่งแซงคิวไหม รถเมล์ก็เหมือนกัน ถ้ารถเมล์มีตารางเวลาแน่นวนกี่โมงกี่นาทีมากี่คันตามเวลาเป๊ะๆๆ จะกรูวิ่งไปแย่งกันขึ้นไหม?

สังคมที่ไม่มีหลักประกันว่าคุณทำตามกฎ รู้จักรอคอยและหลีกทางให้คนอื่นก่อนแล้วคุณจะได้ในสิ่งที่ต้องการแน่ๆ สังคมนั้นผู้คนก็จะมีแต่ความคิดว่ามาก่อนได้ก่อน แย่งชิงกัน

ถ้าอยากจะให้คนเลิกเดินทางลัด เราก็ต้องมีทางตรงที่กว้างใหญ่และสะดวกสบายพอ ไม่ใช่บอกว่า จงพอใจเดินทางตรงที่มีอยู่แล้ว ซึ่งมันไม่พอให้คนเดิน และไม่มีหลักประกันอะไรเลย


ตราบใดสังคมไทยยังต้องรอรถเมล์แบบว่า ไม่รุ้สายนี้จะมากี่โมง ก็แก้การแย่งกันขึ้นรถเมล์ไม่ได้หรอก เรื่องอื่นก็เหมือนกัน ลองไปคิดต่อดีๆ

LekParinya said...

ประเด็นฉุยก็น่าคิด
แต่อาจเป็นคนละประเด็นกับที่ผมพยายามเสนอ

ถ้าอ่านดีๆ ผมพยายามเน้นในประเด็นคือ
ทางลัดแบบที่ล่วงเกินสิทธิคนอื่น
ทางลัดแบบที่ไม่รู้จักพอใจในสิทธิ และความสามารถตัวเอง

รถเมล์มาช้า หรือเร็วนั่นอีกเรื่อง
แต่คนมาก่อน ก็ได้ไปก่อน
ไม่ใช่คนมาหลัง ก็จะไปก่อน
อันนี้ อาจโดนล้อทับหัวกันบ้าง

เรื่องเล่นหวยเหมือนกัน
หากทุกคนที่เล่นหวยมาสิบปี
นำเงินที่ซื้อหวยมารวมกัน
นั่นอาจมากกว่ารางวัลที่ห้า หรือเลขท้ายสามตัวทั้งปึก

ถ้าบรรทัดฐานสังคม ยังปล่อยให้คนไปทางลัดอยู่เรื่อย
คนที่ต่อคิวอยู่ ก็จะทำตาม
หากวันหนึ่ง
คนใช้ทางลัดคนแรกๆ ถูกรุมประนาม
และไม่มีใครยอมให้แซง
วันนั้น
คนที่ต่อคิวต่อไป คงจะเชื่อมั่นได้
ว่าต่อคิวไปแบบเดิมนี่แหล่ะ วันหนึ่งจะถึงคิวฉัน

มันก็คงเป็น ไก่กับไข่นั่นแล
ว่าไหมเพื่อน

Anonymous said...

อาจจะเพราะผมมุ่งไปมองสาเหตุของการวางเงื่อนไขทางจิตใจก็ได้ ว่าทำไมจิตสำนึกของการชอบทางลัดหรือแซงคิวจึงถูกปลูกฝังลงไปได้ ในระดับของสังคมส่วนรวม

//ถ้ามันกลายเป็นลักษณะโดยรวมของคนหมู่มากในสังคม ก็แสดงว่ามันต้องมาจากการวางเงื่อนไขทางจิตใจให้แก่คนในสังคมโดยรวม (จากสภาพแวดล้อม) มากกว่าเป็นนิสัยเฉพาะบุคคล

ผมก็เลยพุ่งไปที่ว่า คนเราเนี่ยถ้ารถเมล์มาเป็นเวลาแน่นอน มายืนรอตอนนี้อีกสิบนาทีได้ขึ้นแน่ (เหมือนที่ญี่ปุ่นมีตารางว่า เวลา 16.00 มีสามเที่ยวคือเที่ยว 15 นาที 29 นาที 45 นาที ก็ว่าไป)ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องกรูกันขึ้นไป เพราะการแย่งชิงเกิดจากการถูกวางเงื่อนไขว่า "ขาดแคลน" มีน้อย จึงต้องแย่งกัน ถ้ามีเยอะ ก็คงไม่ต้องแย่งกัน

ตราบใดที่เราไม่สามารถแก้ไขที่ตัว "เงื่อนไขแวดล้อม" ซึ่งเป็นตัวปลูกฝังนิสัยนี้ ต่อให้เรียกร้องจิตสำนึกรับผิดชอบเพียงใด ก็ยังมีเหตุการณ์แบบนี้อยู่ร่ำไป ถึงจะบอกให้คนช่วยกันรุมประณามก็เลป่าประโยชน์เพราะผู้คนในสังคมก็ล้วนแต่เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลได้ผลเสียทั้งนั้น จริงไหมครับ

crazycloud said...

ไทยลันด์ คือ เมืองพุทธ ที่ไม่ พุทธสักกะเทาไร

เราเป็นมหาอำนาจทางเกษตร แต่ละทิ้งมัน

ผันตัวไปเป็นอุตสาหกรรม แบบรับจ้างผลิต มลพิษเต็มประเทศ

คนไทยมีแรงสร้างสรรค์สูงมาก แต่ขาดการส่งเสริม และวินัย ส่วนบุคคล

ไทยลันด์ เป็นพื้นที่ ของโครงสร้างแห่งการกดขี่ แรงสร้างสรรค์ ขยะ ลำตัด เสียงหัวเราะ ความไร้ระเบียบ

เราเป็นเมืองพุทธโดยแท้ เนื่องจาก เราอยู่ในใกล้กับ อนิจจัง คือ ความไร้ระเบียบเป็นที่สุด

ดูแล้วคล้าย ภาพ อิมเพรสชั่น ของศิลปิน ฮอลันดา เป็นยิ่งนัก

Anonymous said...

เจ๋งนะ ความคิดที่เขียนมาเนี่ย อยากให้คนอื่นๆได้อ่าน ได้คิด และได้ลงมือปฏิบัติ ถ้าทำกัน เมืองไทยจะสงบขึ้นขนาดไหน--

Anonymous said...

เป็นอีกคนค่ะที่ไม่ชอบการหาทางลัด คนที่ชอบหาทางลัดให้ตัวเอง คิดว่าคนๆนั้นคงจะไม่มีระเบียบวินัยเป็นแน่เลย และความมีระเบียบวินัยก็สร้างได้จากตัวเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ความมีน้ำใจ เมตตา เสียสละ ความอดทนควบคุมตนเอง และความเชื่อมั่นในตนเอง ซึ่งถ้าคนไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็คิดว่าจะทำให้การเคารพในสิทธิของผู้อื่น การทำตามข้อตกลง และการใช้เหตุผลลดลงด้วยนะ ผิดถูกทุกคนรู้ดีนะ แต่จะเลือกทำแบบไหนมากกว่า ถ้าอย่างนั้นเราไม่เลือกเดินทางลัดดีกว่านะ