Monday, November 20, 2006

ทำงานไปเพื่ออะไร?

สมัยเรียนปีสาม ผมชอบไปฟังสัมมนาวิชาการตามที่ต่างๆ
ผมถูกเพื่อนชักชวนปนหลอกล่อ เข้าไปเข้าฟังสัมมนาการพัฒนาธุรกิจแห่งหนึ่ง

ในห้องบรรยาย มีคนกว่ายี่สิบคน วัยคละกันตั้งแต่วัยเกษียร จนถึงรุ่นประมาณผม
ผู้บรรยาย เป็นคนหนุ่มวัยสามสิบปลาย
เขาแนะนำตัวว่าเขาจบวิศวฯ จากสถาบันชื่อดัง
เรียนต่อเมืองนอกเมืองนา ได้ทำงานดีๆ บริษัทใหญ่ๆ มามากมาย

เขาเริ่มถามคำถามคนในห้อง
คำถามนั้นเป็นคำถามแบบเปิด เขาถามว่า
“ทำงานไปเพื่ออะไร?”

เขาถามไล่เรียงแถวไปจากข้างหลังมาข้างหน้า
คำตอบหลากหลาย มาจากหญิงและชายไล่มาเรื่อยๆ
“ชีวิตมั่นคง” “เพื่อลูก” “เลี้ยงดูพ่อแม่” “ชีวิตที่ดีขึ้น” “อยากเที่ยวรอบโลก” “ฯลฯ”

ด้านหน้าห้องเป็นกระดานไวท์บอร์ดอันใหญ่
ผู้ถามนำคำตอบทุกคน ค่อยๆ เขียนไว้บนกระดาน

“น้องหล่ะครับ ทำงานไปทำไม?” เขาไล่ถามมาถึงผมแล้ว
“เพื่อให้ชีวิตมีค่าครับ” ผมตอบ
คำตอบผมขึ้นไปอยู่ตรงมุมของไวท์บอร์ดอันใหญ่

เมื่อได้คำตอบครบจากทุกคนในห้อง
จากนั้น เขาเขียนคำหนึ่งตัวโต ไว้ตรงกลางไวท์บอร์ดที่เว้นไว้ว่า
“เงิน”

เขาเริ่มเชื่อมโยงสิ่งที่ได้จากคำตอบทุกท่าน
“เพื่อลูก” จะเลี้ยงลูกได้ไหม ถ้าไม่มี “เงิน”
“ชีวิตที่ดีกว่า” มีรถ มีบ้าน ก็ต้องใช้ “เงิน”
“เที่ยวรอบโลก” จะทำได้ไหม ถ้าไม่มี “เงิน”
เขาพูดก็พลางลากเส้นจากคำตอบที่สะสมมา เข้ามาสู่คำว่า “เงิน”

สุดท้าย เหลือคำตอบของผม “ชีวิตมีค่า” เป็นตัวสุดท้ายที่ยังไม่ได้มีเส้นเชื่อมไปถึงคำว่า “เงิน”

“คำตอบนี้ของใครนะครับ?” เขาหันมาถาม
ผมยกมือขึ้น ซึ่งต่อให้ไม่ยก คนข้างๆ ก็ชี้มาทางผมอยู่แล้ว
“น้องทำงานหรือยังครับ?” เขาถามต่อ
“ยังครับ”
“น้องเขาคงยังไม่รู้ ว่าชีวิตนี้จะมีค่าขึ้นมาก และทำอะไรได้อีกหลายอย่างถ้าเรามีเงินเช่นกัน”
และแล้ว เส้นจากคำตอบของผม ก็วิ่งตรงสู่คำว่า “เงิน”

จากนั้นเขาเปิดวิดีโอ จากอเมริกาเป็นงานสัมมนาของแอมเวย์
ให้เห็นการสัมมนาทั่วโลก และพากันไปเที่ยว ฮาวาย นิวยอร์ค และหลายเมืองในอเมริกา
ทุกคนดูมีความสุข โบกมือทักทาย
วิดีโอจบลงด้วยภาพมุมเงย สู่ธงแอมเวย์ บนฟ้าสดใส
และเป็นโลโก้ตัวใหญ่เต็มจอ

ผมเพิ่งรู้ตอนนั้นแหล่ะ ว่ากำลังฟังการอบรมขายตรงของแอมเวย์

จากนั้นผู้บรรยายเริ่มบอกวิธีได้เงินโดยไม่ต้องทำงาน ด้วยระบบลูกโซ่
ตอนนั้น ผมแค่รู้สึกว่า ระบบนี้มันแปลกๆ

ต่อมาผมสรุปได้ว่า มันเป็นธุรกิจแบบ non-productive
ซึ่งประเทศในภาพรวม ถ้าเป็นแบบนี้กันหมด จะไปไม่รอดแน่ๆ
ผมนึกเปรียบกับ โฆษณาหลายตัวที่สามารถทำให้คนลดน้ำหนักลงได้
โดยไม่ต้องลดอาหาร และไม่อยากออกกำลังกาย
มันไม่ได้อยู่บนความเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งผมไม่เชื่อ

แค่ต้องการอะไรที่มัน Real-time แล้วฉาบฉวยจะเอามาให้ได้

หากวันนี้ มีใครมาถามผมว่า ผมทำงานเพื่ออะไร?
มุมมองตอนนี้ ผมกำลังหาจุดสมดุลของเหตุผลสามอย่าง คือ
เพื่อเอาเงิน
- เงินไม่ใช่คำตอบ แต่มันเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิต และมีทุนเพียงพอจะเอาไปทำอย่างอื่นได้
เพื่อเอากล่อง
- เกิดมาทั้งที มันต้องสร้างชื่อ และสร้างอะไรดีๆ บนโลกนี้ ประเทศนี้ สังคมนี้
เพื่อเอามัน
- นี่เป็นเหตุผลสนองตัญหาความใคร่รู้ เป็นการทดลอง ทดสอบ และพัฒนา หาคำตอบอะไรซักอย่างที่ตั้งคำถามไว้

มันคงจะดี ถ้ามีงาน ที่ตอบเหตุผลทั้งสามได้ในอันเดียว

แต่ถ้ามันไม่สามารถรวมกันเป็นอันเดียวได้
การที่คุณทำอะไร แล้วรู้จุดหมายว่าจะทำไปเพื่ออะไร?
ผมว่ามันทำให้เราทำสิ่งนั้น ได้อย่างไม่ต้องบ่นในความเหนื่อยล้า
หรือปัญหาต่างๆนานาที่เจอ และจะเจอ

เพื่อนหลายคนของผมตอนนี้
หลังจากที่ง่วนกับการหาเงินมาจ่ายเงินเดือนลูกน้องให้ทัน
การหาลูกค้า การรับมือเจ้านาย รับมือปัญหาประจำวัน ฯลฯ
พวกเขาเหมือนจะลืมว่าเขาทำงานไปเพื่ออะไรกันแน่?
เหมือนจุดหมายย้อนกลับมาที่คำว่า “เงิน” เพียงอย่างเดียว

แต่หลายธุรกิจบนโลกนี้ เกิดจากเหตุผล "ทำเพื่อเอามัน" แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือหาเงินระดับโลก
www.google.com เป็นหนึ่งในนั้น
หรือ “กล่อง” หลายใบที่ได้มา กลับกลายเป็นต้นทุน ทำให้หลายคนประสบความสำเร็จในชีวิตได้
และกลับได้เงินอย่างไม่ลืมหูลืมตา

แล้วจุดหมายทั้งสามอัน มันจะรวมกันเป็นอันเดียวได้ในที่สุด

แล้วคุณหล่ะ ทำงานไปเพื่ออะไร?

7 comments:

Anonymous said...

เราไปทำงานเพื่อจะได้เจอเพื่อนหว่ะ

LekParinya said...

ผมเคยพบหลายคน ที่ทำงานเป็นลูกจ้างระดับปฏิบัติงาน

ฐานะทางบ้านเขา หากมองแง่ตัวเงิน
หลายคนไม่ต้องทำงานแล้วชีวิตนี้

หลายคนก็บอกว่า
ทำงาน เพื่อจะได้เจอเพื่อน จะได้ไม่เบื่อ

ไม่รู้คุณ ung เป็นหนึ่งในพวกนี้หรือเปล่า
ถ้าใช่

"มีเงินให้กู้ป่าว"

Anonymous said...

ใครว่า
เราให้เพื่อนที่ทำงานเลี้ยงข้าวอะดิ่

มีไรจะอวดแก กี้ไปนอนเล่นนอกบ้านเห็นดาวตกด้วย
ผิดกระทู้นิดหน่อย ขออภัย

Unknown said...

หรือต้องถามว่า ได้เงินแล้วเอามาทำอะไรต่างหาก

อ่านแล้วทำให้นึกว่าผมทำงานไปเพื่ออะไร
แว็บตอบตัวเองว่า จะได้เอาเงินไปทำในส่ิงที่ชอบ
แล้วทำไมไม่ทำสิ่งที่ชอบให้เป็นงานซะเลยวะ
ก็ย้อนกลับมาอีกว่า แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาทำ

หรือ
ถ้าทำสิ่งที่ชอบเพื่อเงิน ตามประสบการณ์
แล้วสิ่งที่ชอบมันก็จะกลายเป็นงานครับ
ทำสิ่งที่ชอบทุกวัน คงมีไม่ชอบบ้าง
หรือผมเบื่อเร็ว
หรือผมยังไม่ชอบมันจริง
งานเลี้ยงชีวิต งานอติเรกเลี้ยงจิตใจ

เจ้านายเก่า มีคติประจำใจว่า art is work
ศิลปะคือการทำงาน
แก่แล้วแต่เขายังมาทำงานทุกวัน ดูมีความสุขกับงาน
แถมไม่ได้ทำส่งๆไป ดูตั้งใจและมีความสุข
เขาคงไม่อยากได้เงินแล้ว
หรือเขามีความสุขกับการแก้ปัญหา
ภูมิใจกับการทำสิ่งต่างๆให้ลุล่วงสำเร็จ

มีหลายอย่างที่เราไม่เข้าใจตอนนี้
ผ่านไปนานขึ้นเราอาจจะโชคดีเข้าใจมันก็ได้
หรือไม่ก็ไม่เลย

วันไหนงานกับงานอดิเรกมารวมกันได้
ผมคงให้คำตอบได้ดีกว่านี้

Anonymous said...

แรงบันดาลใจของ google นี่มันไม่ได้สะอาดขนาดนั้นน่ะครับ

อยากบอกว่า อย่าเชื่อความโรแมนติกที่มาจากปากของคนที่ชนะไปแล้วค่อยมาพูดครับ

แต่โดยส่วนตัวผมว่า ทำงานเพราะอยากได้ทำงานนั้น และอยากได้โอกาสเอางานนั้นไปทำงานอื่นที่อยากได้ทำอีกยิ่งขึ้นไป

แล้วถ้าอยากได้เงิน ผมค่อยไปหาวิธีทำเงินเอาครับ

Anonymous said...

สนุกจิงๆ เล้ย ไม่ได้เข้าบล๊อกท่านเล็กมานานนนนนนนมากกกกกกกแล้ว


ผมว่าคนเราถามคำถามกะตัวเองมากไปก็เท่านั้น ทำสิ่งที่อยากทำและเห็นว่าควรทำดีกว่า ทำได้ก็ทำไปเลย ทำไม่ได้ก็หาทางทำให้ได้ ถ้ามันหาทางทำไม่ได้จริงๆ ค่อยทำใจแทนแต่ภาวนาขอให้เป็นหนทางสุดท้ายที่จะเลือก


ชีวิตนี้มีแค่ชีวิตเดียว จะอยู่อย่างยอมจำนนหรือจะลุยให้ชนะ? ขอแค่คุณเลือกทางใดทางหนึ่งจากสองทางได้ ชีวิตที่เหลือก็ถุกำหนดแนวทางโดยอัตโนมัติแล้วครับ

Anonymous said...

ขอบคุณครับสำหรับบทความ