Wednesday, March 01, 2006

ผมอยากเป็น 'เภท ที่สาม

ผมชอบบทความของคุณนิธิ เอี่ยวศรีวงค์ เรื่อง “วัฒนธรรมคนอย่างทักษิณ”
(มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 ปีที่ 26 ฉบับที่ 1332)

สรุปเป็นใจความว่า
- การไล่ทักษิณนี้ เป็นแค่ “สัญลักษณ์”
- สิ่งที่เราต้องไล่จริงๆ ไม่ใช่ “คุณทักษิณ” แต่เป็น “คนแบบทักษิณ”

“คนแบบทักษิณ” ผมชอบคำนี้จัง
เป็นการสรุปความคิดผมที่อึดอัดช่วงนี้ได้โดนใจมาก

เคยได้ยินไหมครับ คำแนะนำสำหรับการเลือกคู่ครอง
“ไม่ใช่อยู่ที่ชอบในจุดดีอะไรในเขา แต่อยู่ที่การยอมรับในจุดเสียที่สุดของเขาได้”

จริงอยู่ การมีวิสัยทัศน์ มีความเป็นผู้นำแบบสากล มีนโยบายสร้างสรรค์มากมาย นั่นหวือหวา น่าสนใจ
อันเปรียบเหมือนผู้หญิงหน้าตาดี ๆ ฉลาด เสียงออดอ้อนน่ารัก เย้ายวน
แต่การไร้จริยธรรม กะล่อน พูดเอาตัวรอดไปวัน ๆ ปากกล้า ใจร้อนหยาบคาย ผลประโยชน์ทับซ้อน
คือ ผู้หญิงเย้ายวนคนนั้น มีผัวลูกสองแล้ว ตอแหลเก่ง และคบผู้ชายทีละสิบ ๆ คน

"ผมรับไม่ได้ครับ"
ทำไมหน่ะหรือ เพราะจุดหมายการคบผู้หญิงซักคนตอนนี้ของผมคือ
“เธอต้องเป็นแม่ที่ดีของลูก”
ฉนั้น ข้อเสียทั้งหมดของผู้หญิงยั่วยวนที่ว่ามา
จึงผิด 'เกณฑ์' ของผมแน่นอน

ฉันใดฉันนั้น ประเทศก็เช่นกัน


กลับมาที่ “คนแบบทักษิณ”
ผมกลับเมืองไทยคราวก่อน
ผมอึดอัดกับการกระทำหลายประการของคนไทยเรา
ส่วนมากอยู่ในเรื่องรายละเอียด เช่น การโดนแซงคิวหน้าด้านๆ การทิ้งขยะ การขับรถแบบหม้า ๆ ฯลฯ
อาจเป็นได้ เพราะไม่ได้เจอมานาน
(ส่วนการเมือง ตลก ๆ นั้นเหมือนกัน)

เคยอ่านจดหมายเหตุของนายตรุแปง ชาวฝรั่งเศส ที่บันทึกประเทศสยามสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา
มีเนื้อความโดนใจสรุปว่า

ข้อดีคนไทยคือ - อัธยาศัยดี ยิ้มง่าย มีน้ำใจ
ข้อเสียคนไทยคือ - รักสบาย ไม่ขยัน ไม่มีวินัย ขี้ขลาด ขี้กลัว นับถือผีฟ้า ผีบ้าน ไสยศาสตร์ แม้ทหารก็ไม่กล้าฆ่าคน
ในเรื่องความยุติธรรม - แทบไม่มีความยุติธรรมในประเทศนี้ คนที่มีฝีปากดี จะสามารถใช้ประโยชน์จากระบบกฎหมาย และเอาเปรียบได้อย่างน่าเกลียด
ฯลฯ

อ่านจบแล้ว คิดเลย
“ผ่านมาสองร้อยกว่าปี เราก็ยังเป็นแบบนี้อยู่เหรอ”
ผมก็ไม่รู้นะว่า ฝรั่งตรุแปง นี่มันมีตัวตนจริง ๆ หรือปล่าว
แต่คนแต่งจดหมายเหตุนี้ นี่เข้าใจประเทศเราจริง ๆ

การแย่งขึ้นรถไฟฟ้า ทิ้งขยะ แซงคิว ขับรถแทรกแถว

นี่มันสันดานประเทศไทย
ข้อดีในข้อเสียก็มี เรื่องเอื้ออาทร การอุ้มชูกัน (แม้ว่ามันจะน้อยลงทุกวัน ๆ ก็ตาม)

".. สิ่งสำคัญในการปกครองก็คือบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด
....การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงไม่ใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี
....หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้..."


ผมว่า สี่ห้าบรรทัดในพระบรมราโชวาทนี้ เกือบจะเป็นผังการพัฒนาประเทศได้ดีมาก ๆ เลย

ประเด็นที่อยากให้คิดคือ ระบบควบคุมคนไม่ดี
ระบบต้องเริ่มจากเล็ก ๆ เช่น
คนทิ้งขยะต้องโดนปรับ
คนแซงคิวต้องโดนประนาม
รถแทรกตีนสะพานต้องโดนใบสั่ง
และตำรวจต้องไม่เรียกเงิน สองมาตรฐาน ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจใด ๆ

สังเกตว่า ทำไมคนไทยมาอยู่ต่างประเทศ ระเบียบวินัยตรงเปะ
ไม่แทรงคิว ไม่ทิ้งขยะ ขับรถไม่ใจหม้า

ผมคิดส่วนตัวว่า
จะพัฒนาสันดานคนไทย “ระบบ” มันต้องดี
กฏหมายต้องเข้มแข็ง (ไม่ใช่รุนแรง)
จริยธรรมต้องไม่ย่อหย่อน
เลิกได้แล้ว แนวคิดชื่นชมคนเก่งแบบศรีธนนชัย
และสุดท้าย ที่สำคัญที่สุด
"ทุกคนต้องทำตามหน้าที่"

ไล่ไอ้พวกกลุ่มคน ที่มันถ่างมาตรฐานจริยธรรม ให้ไปไกล ๆ เป็นสัญลักษณ์ และตัวอย่างเลว ๆ ก่อนนี่แหล่ะ

สรุปรวบยอดคือ
เราต้องไม่เอา “ทักษิณ” และ “คนแบบทักษิณ”

มีคนกล่าว(เชิงดูถูกคนไทยกันเอง)ว่า
ประเทศไทยมีคนสองประเภท
ประเภทที่หนึ่ง คือ “คนโกง”
ประเภทที่สอง คือ “คนที่ยังไม่มีโอกาสจะโกง”

เศร้านะ เพราะมันเป็นความจริงในส่วนใหญ่
แต่ผมเชื่อว่า
มันต้องมีอีกประเภทหนึ่งสิ คือประเภทที่สาม
ประเภทที่สาม คือ "คนไม่โกง ในทุกๆ โอกาส"

ผมอยากเป็น 'เภท ที่สามครับ


จริงไหมหล่ะ ตัวเอง

...........................

ขอบคุณ ไอ้นอร์ท สำหรับบทความคุณนิธิ

7 comments:

Unknown said...

แหม ...หนูมิ้ม.....มีเพื่อนคุยใหม่ ลืมพี่เลย ...เหอ เหอ ...

ไม่กล้าเขียนอะไรมาก กลัวสื่อสารผิดพลาดอีก วันก่อน ไปเขียนเตือนน้อง ให้พูดสุภาพก็ได้ ไม่ต้องใช้คำหยาบหรอก .... ท่านน้องที่เคารพ เข้าใจว่า ไปแอบหลอกด่าบุพการีเขา ...รู้สึกเสียใจมาก เพราะพ่อแม่ใคร ๆ ก็รัก ...ไม่มีทางจะคิดเช่นนั้นได้อย่างเด็ดขาด ...

เรื่องกลิ่นที่ห้องพี่นี่ ...หมาชัด ๆ น้อง ... เห็นตัวเป็น ๆ เลยละ ... แม้ทางหอพักจะมาจัดการเอาหมาออกไปแล้ว แต่กลิ่นมันช่างฝังติดแน่นนัก ...ยากจะเยียวยา ตอนนี้ เขานัดหมายให้ professional clean มาจัดการแล้ว เจ้าอเมริกันหัวทอง เจ้าของหมา คงต้องจ่ายเงินประมาณ ๑๐๐ เหรียญ ค่าทำความสะอาด ทั้งห้องพี่ และห้องของเขาเอง ... ทำไงได้ละ กลิ่นมันไม่ยอมจากไปง่าย ๆ ... อยู่ดี ๆ ก็หาเรื่องเสียตังค์ ...เฮ้อ....

LekParinya said...

อ๋อ ปัญหาหมา ๆ งั้นโชคดีครับ พี่พล
ไม่แนะนำให้ใช้พวกน้ำหอมเคมีดับกลิ่นนะครับ
เดี๋ยวกลิ่นจะไปผสมกัน ฟุ้งทั้งห้อง แย่อีก

หากไม่ไหวจริง ๆ ใช้พวกเทียนหอมดีกว่า
หรือกลิ่นอะไรก็ได้ ที่ organic
เลือกกลิ่นที่ไม่แพ้แล้วกันครับ

คุณ Mim
เอ...
อาการชอบของนอกของคนบ้านเรา เปรียบเป็น...
หญิงไม่มั่นใจตัวเองแล้วกันครับ
ไม่เดือดร้อนใคร แต่น่ารำคาญบางที
เป็นหนัก ๆ ก็สิ้นชาติ เอ้ย...ก็โดนเขาหลอก เสียเงิน เสียตัว เสียใจ ไปเลยเป็นได้

ผมไม่เห็นด้วยกับการพูดไทยคำอังกฤษคำจริง ๆ ครับ
หากไม่จำเป็นจริง ๆ จะไม่ใช้เลย

พี่กล้านี่คนไหนนะครับ พี่ชายคุณ Mim เหรอ
ผมก็จำไม่ได้แล้วว่าไปแวะ ไปทิ้งเบาะแสที่ไหน ให้คุณ Mim ตามมาถูกนะครับ
(สืบเก่งแบบนี้ น่าเอาไปเป็น สันติบาล จริงไหมครับ พี่พล เหอ เหอ)

เมือง clermont เคยไปนอนอยู่คืนนึงครับ
ผ่านจาก ปาปินยอง นาบอน กลับไปปารีส

จริง ๆ อยากไปดูไอ้สะพานนั่น แต่ตอนนั้นยังไม่เสร็จ
เลยเสร็จเลย ขับรถเกียร์ธรรมดาทางชัน ๆ จนเท้าเป็นเหน็บ

เมืองก็น่ารักดีครับ ผสมกันแปลก ๆ
ภูเขาไฟสวย พิพิธภัณฑ์เก๋
คืนนั้นฟ้าเปิด เลยขับรถแกล้งหลงไปบนเขากัน
ปิดไฟ เห็นทางช้างเผือกหลัด ๆ ภูเขาไฟลิบ ๆ น่าประทับใจสุด ๆ

ใบ้ให้ว่า เอมเอสเอน คือparinya_c@hotmail.com ครับ

crazycloud said...

สวัสดีท่าน เห็นด้วยอย่างแรงกับ เภท 3

บ้านเรามีคนเก่งเยอะ แต่ส่วนใหญ่ทำเพื่อตัวเอง

บ้านเรามีคนดีเยอะ แต่ส่วนใหญ่ชอบนั่งเฉย

บ้านเรามีคนพูดเก่งเยอะ แต่ส่วนใหญ่เอาไว้หลอกชาวบ้าน

บ้านเรามีคนชอบวิจารณ์เยอะ แต่ส่วนใหญ่รับการวิจารณ์ไม่ได้ (เข้าตัวผมเองหรือเปล่าวะ ฮา ฮา)

บ้านเรามีคนอยากเป็นนักการเมืองเยอะ แต่มีคนคิดถึงประชาชนน้อย

บ้านเรามีนักนิติศาสตร์เยอะ แต่ส่วนใหญ่หวัง กิน กาม เกียรติ

บ้านเรามีนักเศรษฐศาสตร์เพียบ แต่ส่วนใหญ่ชอบพูดแต่เรื่อง ตัวเลข ทุน โดยไม่พูดถึงคน ในฐานะคน ไม่ใช่ทุน

คุณทำถูกแล้ว ผมเห็นด้วย

คารวะ

Gelgloog said...

พูดถึงเรื่องน้ำหอม

วันนั้นอุตส่าห์ไปรับท่านเพื่อนที่บ้าน ว่าจะไปหาสถานที่ชิวชิว ร่ำสุรา

คุณประคุณเจ้า แม่งโคตรฉุนกึก สงสัยพี่แกคงพรมน้ำหอมแม่งทั่วทุกอณูขุมขนไม่เว้นแม้แต่ซอกตีน ฉุนได้ใจอย่างรุนแรงเลยทีเดียว ฉุนได้ฮาร์ดมาก

เล่นเอาผมเมารถเลยหละ สุดเซ็ง เหอ เหอ


หึหึ คุณปริญญาใจเปิดเผย msn ตนเองออกมาจนได้ ขอถือวิสาสะแอดไปเลยละกันนะท่าน


วันนี้คงพอเท่านี้ก่อน ขอกราบลา

a portrait of the engineer as a young man said...

ช่วงนี้ผมหนีการเมืองครับ

พี่ๆหลายคนเข้มข้นโดนใจก็เลยไปเสริม

หลายคนไม่โดนใจก็ไปขัด

ในblogก็พยายามไม่เอาเรื่องการเมืองมาเขียน

ยิ่งช่วงนี้อยู่กับคนที่ทำมาหากินไปวันวัน

ยิ่งได้ฟังความคิดเห็นเยอะ

ก็เลยเบื่อๆอ่ะครับ

ป.ล.
1.แล้วสี่ในห้านี่ยังคิดไม่ออกหรือยังไม่อยากบอกครับ
2.ของฝากครับ..........น่าจะชอบ
http://uncyclopedia.org/wiki/Thaksin
ลองเข้าไปดูนะครับ

Anonymous said...

:D สวัสดีค่ะพี่เล็ก
เข้ามาทักทายเจ้าของ blog ค่ะ
พี่นอร์ทแนะนำให้อ่าน
อ่านเเล้วเพลินดี เขียนได้ดีจัง
อ่านเรื่องของพี่เเล้วรู้สึกว่าเรื่องบางเรื่องมุมบางมุมเราไม่เคยคิดมาก่อนพอมาอ่านเเล้วก็ได้เเง่คิดอีกมุมขึ้นมา
ในบทสรุปก็จบได้ดีค่ะ

เเต่ไม่รู้ในชีวิตจริงคนเรามันจะทำได้หรือเปล่าค่ะ กับการทีมีเงินทองกองโตมากองอยู่ตรงหน้า บางครั้งมันอาจจะเกี่ยวกับการเลี้ยงดู สิ่งเเวดล้อม ความจำเป็น การรู้ชั่วดีของเเต่ละคนเหมือนกันเนอะค่ะ ถ้าเป็นไปได้ประเทศเราคงน่าอยู่มากมากเลยนะค่ะ

ขอบคุณค่ะสำหรับคนเขียนกระทู้สนุกเพลินๆ

Anonymous said...

ผมว่าความคิดของคุณน่าสนใจดีคับ คุณเป็นคนช่างคิด ผมอ่านหลายๆเรื่องของคุณแล้วนับว่าน่าสนใจดีคับ